วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

Paul Is Dead Rumour

วันนี้เอาเรื่องฮาๆเกี่ยวกับพอลมาให้อ่านค่ะ ในปี1969 มีข่าวลือออกมาว่าพอลตายแล้วจากอุบัติเหตุรถชน ตั้งแต่นั้นมาก็มีเงื่อนงำมากมายจากเพลงของ The Beatles ภาพยนตร์และปกอัลบั้มที่ช่วยยืนยันว่าพอลตายไปแล้วจริงๆ งั้นพอลคนที่เราเห็นมาจนถึงทุกวันนี้ล่ะเป็นใคร พอลจะใช่สมาชิกคนที่สี่ของ The Beatles จริงๆหรอ เริ่มอยากรู้แล้วล่ะซิ ฮ่าๆๆ ไปอ่านกันเถอะค่ะ แล้วจะทยอยเอาเงื่อนงำจากอัลบั้มต่างๆมาลงให้นะค่ะ


เรื่องมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง


มันยากที่จะระบุที่มาที่แท้จริงของตำนานลวงโลกอย่าง Paul Is Dead ได้ บางคนเชื่อว่าพวก The Beatles และบริษัท Apple วางแผงการทั้งหมดขึ้นมาเพื่อทำยอดขายอัลบั้ม หรืออาจจะมาจากความอิจฉาของจอห์น เลนนอน บ้างบอกว่าแฟนๆที่บ้าคลั่งจำนวนหนึ่งกุเรื่องทั้งหมดขึ้นมา หรือแล้วพอล แม็คคาร์ทนีย์ตายไปแล้วจริงๆ!! เราไม่มีทางรู้ที่มาของเรื่องทั้งหมดแน่นอน แต่หลักฐานและเงื่อนงำบางอย่างก็ได้ออกสู่สายตาสาธารณะชนไปแล้ว

ในปี1969 ดีเจในเมืองดีทรอยต์ประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศออกไมค์ว่า พอลนั้นตายไปแล้ว เขานำหลักฐานออกมาแสดงมากมายไม่ว่าจะเป็นเงื่อนงำในเพลงของ The Beatles ภาพยนตร์และปกอัลบั้ม ทำให้ทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ประโคมข่าวดังกล่าวไปทั่วสหรัฐ

จุดเริ่มต้นของเรื่อง

เช้ามืดของวันพุธ ว่ากันว่าพอลทะเลาะกับคนในวงอย่างหนักจนต้องขับรถออกจากสตูดิโอไปสงบจิตใจ ระหว่างที่ขับรถอยู่พอลไม่ได้สังเกตว่าไฟจราจรเปลี่ยนสีแล้วทำให้เขาขับรถชนเข้าอย่า
งจัง ตอนนั้นเป็นเวลาตีห้าโดยประมาณ พอลถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแต่ไม่ทันการเพราะทนผิดบาดแผลไม่ไหว อุบัติเหตุดังกล่าวร้ายแรงมากจนกระทั่งฟิล์มเอ็กซ์เรย์ฟันของพอลก็ไม่สามารถใช้ในการ
พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลได้ แต่อุบัติเหตุดังกล่าวไม่ได้เป็นข่าวแต่อย่างใดเนื่องจากตำรวจที่รับเรื่องไม่อนุญาต
แต่ The Beatles อีก3คนมั่นใจว่าชายผู้นั้นเป็นพอลอย่างแน่นอนแต่ก็ปิดเงียบเอาไว้ ถ้าข่าวรั่วออกไปคงไม่ดีแน่ The Beatles ที่เหลือจึงคิดแผนหาพอลคนใหม่ขึ้นมา

การประกวดหาคนหน้าเหมือนพอล แม็คคาร์ทนีย์ถูกจัดขึ้นและชายที่ชื่อว่า วิลเลี่ยม แคมป์เบลก็เป็นผู้ชนะ แต่ผลการประกวดกลับถูกปิดเงียบ รางวัลของแคมป์เบลนั้นก็คือการเป็นร่างโคลนของพอลนั่นเอง! เขายังไปทำศัลยกรรมเพื่อทำให้เขาดูเหมือนพอลตัวจริงมากที่สุดอีกด้วย น่าเสียดายที่รอยแผลเป็นที่ปากบนของแคมป์เบลไม่สามารถรักษาได้ จึงทำให้เรารู้ว่าคนไหนเป็นพอลตัวจริงนั่นเอง ! 





ปกอัลบั้ม Abbey Road มีเงื่อนงำมากที่สุด
ปกอัลบั้ม Abbey Road มีเงื่อนงำมากที่สุด


เงื่อนงำที่มีทั้งหมดจากอัลบั้มของ The Beatles


THE BUTCHER ALBUM,(YESTERDAY AND TODAY) (วางแผงเฉพาะ USA )
RUBBER SOUL
REVOLVER
SGT. PEPPER’S LONELY HEARTS CLUB BAND
YELLOW SUBMARINE
MAGICAL MYSTERY TOUR
WHITE ALBUM (THE BEATLES)
ABBEY ROAD


บทสรุป


เรื่องทั้งหมดนี่เป็นแค่การล้อเล่นที่ร้ายกาจหรือเป็นเพียงแค่ความบังเอิญ ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด แต่เบาะแสเกือบทั้งหมดก็ยังคลุมเครือและตีความได้สองนัยทั้งนั้น แต่เชื่อได้ว่า The Beatles ที่เหลือต้องปฎิเสธว่าไม่รู้เห็นในเรื่องนี้แน่นอน แต่มั่นใจได้เลยว่าพอล แม็คคาร์ทนีย์ตัวจริงนั้นยังไม่ตาย และยังอยู่ดีมีสุขจนถึงทุกวันนี้ แต่ข่าวลือเรื่องพอลตายแล้วนั้นจะยังอยู่ต่อไปจนกว่าเพลงของ The Beatles จะหายไปจากโลกใบนี้

John Lennon shot dead


ในวันที่ 8 ธันวาคม 1980


         ห้าโมงเย็น จอห์นกับโยโกะ ออกจาก Dakota Apartment เพื่อเดินทางไปบันทึกเสียง
ระหว่างเดินไปที่ลีมูซีน แฟนเพลงซึ่งเป็นชายร่างท้วมสวมแว่นตา เดินเข้ามาพร้อมกับ
อัลบัม Double Fantasy และขอลายเซ็นกับ จอห์น
จอห์นเซ็นให้ ก่อนถามว่า "ต้องการอะไรอีกไหม?"
"ไม่ครับขอบคุณ" ชายคนนั้นตอบ
แล้วจอห์นและโยโกะ ก็เดินขึ้นรถไป
หลายชั่วโมงอันเหน็ดเหนื่อยผ่านไป หลังจากอัดเพลง Walking On thin Ice เสร็จ
จอห์น เห็นว่าดึกแล้ว เขาอยากกลับมาให้ทันส่ง ฌอน ลูกชายเข้านอน
เขากับโยโกะจึงเดินทางกลับบ้าน
สี่ทุ่มห้าสิบนาที จอห์นและโยโกะกลับมาที่พัก แฟนเพลงคนเดิมปรากฏตัว

 โยโกะเดินนำ ตามด้วย จอห์นที่มองเขาครู่นึงก่อนเดินต่อไป
"Mr.Lennon"เขาร้องขึ้น - ตามด้วยกระสุนอีกห้านัดเข้าที่หลังและไหล่ของ จอห์น เลนนอน
อีกหนึ่งนัดไปโดนกระจกของ Dakota

 จอห์นร้องว่าถูกยิง ก่อนทรุดตัวลงไป ยามเฝ้า Dakota รีบรุดเข้ามา
และเมื่อเห็นร่างท่วมเลือดของจอห์น เขาจึงกดสัญญาณเตือนภัย
โยโกะ โอโนะหันมาเห็นหวีดร้องด้วยความตกใจ
ใกล้ๆกันแฟนเพลงผู้ลั่นไกยังอยู่ เขาค่อยๆนั่งลงที่ทางเท้า ทิ้งปืนลงพื้น
ก่อนหยิบหนังสือ The Catcher in The Rye ขึ้นมาอ่าน
"รู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป !" ยามตะโกนใส่ พร้อมกับเตะปืนให้ออกไกลๆ
"ผมพึ่งยิง จอห์น เลนนอน" ชายคนนั้นตอบอย่างเยือกเย็น
ตำรวจเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ ตำรวจพบฆาตกรนั่งอยู่ที่เดิม
เขาถูกค้นตัวพบหนังสือ Cathcer in the Rye ,และเทปเพลง
ที่อัดเพลงของ The Beatles ไว้เต็มม้วน
จอห์น เลนนอน ถูกนำตัวเข้าในรถตำรวจ เพื่อรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล
ตำรวจรีบถาม จอห์น เลนนอน เพื่อให้ตื่นตัวไม่หมดสติ "คุณจำชื่อตัวเองได้ไหม?"
จอห์น เลนนอนตอบ...I'm Legend ...   พูดเล่นน่า เด๋วจะเครียด จอร์นตอบว่า I'm John Lennon...
  ......ซึ่งนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของเขา....


 ห้าทุ่มสิบห้านาที จอห์น เลนนอน ถูกประกาศว่าเสียชีวิต
จากสาเหตุหัวใจล้มเหลวหลังเสียเลือดเกินกว่าร่างกายจะรับไหว
ผู้คนเนื่องแน่นที่โรงพยาบาล หลายคนร้องไห้ ไม่เชื่อกับข่าวที่ได้รับ
ชาวอเมริกันที่กำลังชม เกมส์อเมริกันฟุตบอล NFL คู่ Monday Night
ได้รับข่าวร้ายที่แทรกเข้ามาโดยผู้บรรยาย

 ที่หน้า Dakota Apartment คนค่อยๆมาชุมนุมกันจนเนื่องแน่นถนน
เพลงของ The Beatles และ John Lennon ถูกเปิดในทุกๆสถานี
ทุกร้านอาหารและผับในนิวยอร์ดร่วมบรรเพลงของ Lennon และ Beatles
แม้แต่ผับแจ๊ซ ที่ไม่เคยเล่น Rock'n'Roll
ในอังกฤษบ้านเกิดของ จอห์น เลนนอน เป็นเวลาเช้าของวันที่ 9
ป้าMimi ผู้เลี้ยงดูจอห์นตั้งแต่เด็ก เสมือนแม่ของจอห์น ผู้เคยบอกกับจอห์นว่า
'ดนตรีนะก็โอเค แต่มันเป็นอาชีพไม่ได้' เธอได้แต่ร้องไห้อยู่ในบ้าน(ถ้าได้ดูหนังประวัติจอร์น
คุณจะรักป้า มีมี่)

 ซินเธีย ภรรยาเก่า และ จูเลี่ยน ลูกชายคนแรกของจอห์นทราบข่าวแล้วเตรียมตัวเดินทางไปนิวยอร์ค
จูเลี่ยนอาจจะเริ่มต้นไม่สวยเท่าไรกับพ่อของเขา ทั้งปัญหาหย่าร้าง
แต่ช่วงหลังๆไม่นาน เขาเพิ่งฟื้นความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อ รวมทั้งน้องชายต่างแม่อย่าง ฌอน
ที่เขาได้ไปใช้ชีวิตช่วงวันหยุดกับครอบครัวใหม่ของพ่อ แต่ทั้งก็จบลงแล้ว

 ริงโก้ สตาร์ กำลังพักผ่อนกับครอบครัวที่บาฮาม่า เขารีบมาที่นิวยอร์ค ก่อนหลบนักข่าว
เข้าทางประตูหลังของ Dakota เพื่อพบโยโกะ และ ฌอน เลนนอน

 พอล แม็กคาร์ทนีย์ ให้สัมภาษณ์ที่ลอนดอน ว่า จอห์นเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่
และจะถูกจดจำไปตลอดกาล ส่วน จอร์จ แฮริสันเขาโกรธเกินกว่าจะให้สัมภาษณ์ใดๆทั้งสิ้น

 มีรายงานการฆ่าตัวตายของแฟนเพลง บ้างว่านี่คือจุดจบของยุคสมัย
โยโกะ โอโนะจึงออกมาแถลง ให้ทุกคนมีชีวิตต่อไป นี่ไม่ใช่จุดจบของยุคสมัย
ช่วยกันสนองเจตนารมณ์ของจอห์นให้อยู่ต่อไป
โยโกะยังบอกว่า เธอเพิ่งบอกข่าวแก่ฌอน เลนนอน วัยห้าขวบ
ให้ทราบข่าวการเสียชีวิตของพ่อ และเขากำลังร้องไห้อยู่
ผู้คนยังคงเนื่องแน่น เสียงเพลงดังก้องไปทั่ว
เวลาค่อยผ่านไป เพลงแล้วเพลงเล่า
เช่นกัน ..วันที่ 8 ธันวาคม ก็ค่อยๆผ่านพ้นไป
จนเวียนเป็นวาระครบรอบ หลายสิบปีแล้ว
โลกยังไม่ลืม จอห์น เลนนอน และสิ่งที่เขาฝากไว้






" ผมแต่งเพลงเพื่อคนรุ่นเดียวกับผมจากยุค 60s
ที่กำลังใช้ชีวิตอยู่เหมือนๆผม... ตอนนี้มีลูก มีเมียกันแล้ว
ผ่านพ้นอะไรต่อมิอะไรมาด้วยกัน ผมร้องเพลงให้พวกเขา...

.....ผมหวังว่าเด็กรุ่นใหม่จะชอบเพลงของผม
แต่ผมตั้งใจจะพูดกับคนรุ่นเดียวกันที่โตมากับผม

ผมบอกกับพวกเขาว่า "ผมอยู่นี่!...พวกคุณละเป็นไงบ้าง?
สุขสบายดีไหม ผ่านอุปสรรคมาได้ไหม? ยุคเซเวนตี้น่าเซ็งเนอะ?
มาเถอะมาช่วยกันสร้างยุค80s ให้ดีกัน...

....เราจะสามารถทำอะไรได้มากมาย ใช่ว่าเราจะแก่เกินแกง
ผมยังเชื่อในความรัก สันติภาพ การมองโลกแง่ดี
ฉะนั้น เพราะอะไรถึงไม่ลองช่วยกันซักตั้งละ?
...ผมไม่ได้มองโลกแง่ดีตลอดเวลา
แต่เมื่อใดที่ผมมองโลกแง่ดี ผมพยายามจะนำเสนอมันออกไป "

...พวกเราต้องขอบคุณพระเจ้า หรืออะไรก็ตามบนฟ้า
กับความจริงที่ว่า พวกเรายังมีชีวิตอยู่...
..เราผ่านสงครามเวียดนาม ผ่านคดีเวอร์เตอร์เก็ต
และความเลวร้ายต่างๆบนโลกมาได้

พวกเราก๋ากั่นกันน่าดูตอนยุค 60s ....แต่โลกไม่เหมือนยุค 60s อีกต่อไปแล้ว
อะไรต่ออะไรเปลี่ยนไปหมด เรากำลังเข้าสู่อนาคตที่เราคาดเดาไม่ได้
แต่เราก็ยังอยู่ด้วยกันที่นี่ เรายังพร้อมผจญภัยกัน

..เปี่ยมด้วยชีวิตและความหวัง "

ดนตรีที่มีเสียงน้ำตา จอห์น เลนนอน : เด็กผู้ชายที่ร้องไห้ดังที่สุดในโลก -- บทความ จาก ปราบดา หยุ่น

ดนตรีที่มีเสียงน้ำตา จอห์น เลนนอน

ดนตรีที่มีเสียงน้ำตา จอห์น เลนนอน

         บทเพลงแรกของ จอห์น เลนนอน (John Lennon) ที่ทำให้วงดนตรีขนาดเล็กเท่าตัวเต่าทองของเขาโด่งดังข้ามทวีป จากเกาะอังกฤษไปสู่แผ่นดินอื่นเกือบทั่วโลก คือเพลง "Please Please Me" (ค.ศ. ๑๙๖๓) เป็นเพลงรัก เนื้อหาเวียนวนอยู่กับการวอนขอให้ "คุณเอาใจผม เหมือนกับที่ผมเอาใจคุณ" เขาเคยเล่าว่าได้แรงบันดาลใจจากเพลงของนักร้องนักดนตรีชาวอเมริกันผู้เป็นต้นแบบดนตรีร็อกอย่าง รอย ออร์บิสัน (Roy Orbison) กับ บิง ครอสบี (Bing Crosby) เป็นการได้แรงบันดาลใจในการประพันธ์เนื้อร้องและทำนอง สะท้อนให้เห็นว่าเลนนอนในวัยหนุ่ม (ขณะนั้นเขามีอายุเพียงยี่สิบต้นๆ) เป็นนักดนตรีที่สุงสิงอยู่กับ "ความสนใจของตัวเอง" ทั้งในแง่รูปแบบและเนื้อหาตามประสาวัยรุ่นทั่วไป

บทเพลงดังระดับโลกบทสุดท้ายของ จอห์น เลนนอน ที่ทำให้ทั้งชื่อและผลงานของเขากลายเป็น
หนึ่งในสัญลักษณ์ของการเรียกร้องสันติภาพสำหรับมวลมนุษยชาติ คือเพลง "Imagine" (ค.ศ. ๑๙๗๑) เนื้อหาโดยรวมของเพลงอมตะบทนี้คือการเรียกร้องให้ผู้ฟัง "จินตนาการ" ถึงสังคมยูโธเปีย ปราศจากการแบ่งแยกชนชาติ ปราศจากการแบ่งแยกทางศาสนา ปราศจากสงคราม ปราศจากนรกและสวรรค์
"ผมหวังว่าสักวันพวกคุณจะร่วมฝันไปกับเรา แล้วโลกก็จะอยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว"

จากหนุ่มน้อยผู้ขับกล่อมเพลงรัก เรียกร้องความสนใจจากสาวๆ กลายเป็นหนุ่ม "หัวรุนแรง" ผู้พยายามใช้ชื่อเสียง เงินทอง และศักยภาพทางดนตรีป๊อปของตน คะยั้นคะยอขอสันติภาพจากเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ในระยะเวลาการทำงานไม่ถึง ๑๐ ปี ดูเหมือน จอห์น เลนนอน จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เติบโตขึ้น มีสาระมากขึ้น และทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้น
เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาดูดีกว่าดารานักร้องทั่วไป แม้คนจำนวนหนึ่งจะไม่ปลาบปลื้มพฤติกรรมของเขา ระแวงว่าเขาสร้างภาพเพียงบนผิวเปลือก วิจารณ์ทัศนคติของเขาว่าตื้นเขินไร้เดียงสา แต่ก็ยากจะปฏิเสธสถานะความเป็น "คานธี" แห่งวงการเพลงร็อกของ จอห์น เลนนอน อย่างน้อยเพลงอย่าง "Imagine" ก็มักกระตุ้นให้วัยรุ่นมองด้านอื่นของชีวิตและสังคมมากกว่าเพลงอย่าง "Please Please Me" ไม่ว่าจะเป็นการมองที่ลึกซึ้งหรือตื้นเขินขนาดไหนก็ตาม

ชีวิตในสายตาสาธารณะของ จอห์น เลนนอน จึงดูเหมือนจะมีสองยุคสมัยที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 
ยุคแรกคือนักร้องขวัญใจวัยรุ่น เป็นหัวหอกของ เดอะบีเทิลส์ (The Beatles) วงร็อกที่โด่งดัง และประสบความสำเร็จมากที่สุดวงหนึ่งในประวัติศาสตร์ดนตรีสมัยใหม่ (อาจเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมากที่สุด หากวัดจากความเป็นตำนานและความสำเร็จเชิงพาณิชย์ที่ยังดำเนินต่อไปไม่จบสิ้น) สถานะของเขาในตอนนั้นไม่ต่างจากความนิยมที่สาวน้อยและสาวใหญ่มีให้ต่อสมาชิกวงประเภท "บอยแบนด์" ในปัจจุบัน นั่นคือห่างไกลจากการกระตุ้นต่อม "สำนึกต่อสังคม" ทั้งในภาพลักษณ์และผลงาน ตัวตนของเขาเป็นเพียงเครื่องหมายการค้า และเป็น "ต้นแบบ" ทางแฟชั่น บทเพลงของเขา (หรือของ "พวกเขา" ในนาม เดอะบีเทิลส์) อาจมีความน่าตื่นเต้นประทับใจในแง่ความแปลกใหม่ของเสียงดนตรี แต่ในด้านสาระและความหมาย มีเพียงไม่กี่เพลงเท่านั้นที่ขยับเคลื่อนห่างออกไปจากคำว่า "รัก"
ทว่า จอห์น เลนนอน ในยุคหลัง กลับกลายเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ การต่อต้านสงคราม การเรียกร้องสันติภาพ และเป็น "วีรบุรุษของชนชั้นกรรมกร" ดังที่เขาขับร้องด้วยน้ำเสียงขื่นขมอมประชดประชันในเพลง "Working Class Hero" จากผลงานอัลบัมเดี่ยว (แต่ทำร่วมกับโยโกะ โอโน่ ภรรยาคนที่สองของเขา) ชุดแรกที่ชื่อ John Lennon/Plastic Ono Band ในปี ๑๙๗๐ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นอย่างชัดเจนของ "จอห์น เลนนอน คนใหม่" ผู้ไม่อาจหวนกลับไปร่ำร้องอ้อนวอนให้สาวๆ "เอาใจ" เขา เหมือนที่เคยทำอีกแล้ว
ระหว่าง จอห์น เลนนอน ยุคแรก กับ จอห์น เลนนอน ยุคหลัง ชายหนุ่มคนใดสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของนักร้องนักดนตรีผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของโลกผู้นี้ เขาเป็นมนุษย์ผู้หมกมุ่นกับความรักและความต้องการของตัวเอง หรือเป็นยอดมนุษย์ผู้ห่วงใยความเป็นไปในสังคมมากกว่าความสุขสบายส่วนตัวกันแน่
คำตอบอาจไม่ใช่ทั้งสองคน
ในความต่างของเพลงอย่าง "Please Please Me" และเพลง "Imagine" ยังมีความเหมือนที่แฟนเพลงทั้งสองยุคของเขาอาจไม่สามารถสังเกตเห็นในขณะนั้น แม้เพลงแรกเป็นเพลงที่พูดกับผู้หญิงเพียงหนึ่งคน และเพลงที่สองพูดกับมนุษยชาติ แต่สำหรับผู้พูดที่ชื่อ จอห์น เลนนอน เขาพูดด้วยความรู้สึก อารมณ์ และความต้องการที่ไม่ห่างไกลจากกันเท่าไรนัก
เป็นคำพูดของผู้ที่คิดว่าตัวเองขาดไร้ความรัก และทุกข์ตรมอยู่กับผลลัพธ์ของ "ความจริง"

เพลง "Imagine" อาจได้รับคำสรรเสริญเยินยอว่ามีเนื้อหางดงาม แต่เนื้อหาของมันย่อมต้อง
มีจุดกำเนิดจากความหม่นเศร้าและผิดหวัง มีเพียงชีวิตในโลกแห่งการแบ่งแยก สงคราม และ
ความอยุติธรรมเท่านั้นที่ผู้คนจำเป็นต้องร้องเพลงอย่าง "Imagine" เพื่อวอนขอความสงบสุข เพื่อปลอบประโลมตัวเองว่า "ความฝัน" อันสวยงามในอุดมคติ "อาจจะ" เป็นจริงได้สักวัน

มนุษย์คงไม่จำเป็นต้องมี "จินตนาการ" หากโลกและชีวิตดำเนินไปตามความคาดหวังโดย
เพียบพร้อมสมบูรณ์
นอกเหนือจากความเป็นนักร้องเพลงรักและนักร้องเพลงเรียกร้องสันติภาพ ความโดดเด่นที่แท้จริงในผลงานดนตรีของ จอห์น เลนนอน อาจเป็นการประพันธ์บทเพลงประเภท "ตีแผ่ความอ่อนแอของตัวเอง" เขาเป็นนักร้องเพลงร็อกสมัยใหม่คนแรกๆ ที่เขียนเพลงจากประสบการณ์ส่วนตัวชนิดแทบหมดเปลือก ส่วนใหญ่เป็นการเปิดเผยด้านเศร้าหม่น มืด สับสน โดยไม่หวาดหวั่นว่าแฟนเพลงจะเหยียดหยามความเป็น "ปุถุชน" ของคนระดับตำนานอย่างเขาแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามกับการสร้างภาพ เพลงของ จอห์น เลนนอน ในยุค "หลังเดอะบีเทิลส์" เกือบทั้งหมดเป็นเพลงที่มีเนื้อหาแบบ "ไม่ห่วงภาพ" ถึงขั้นปลดเปลือยตัวตนบางด้านของเขาจนเกือบเห็นโครงกระดูก 


บทเพลงแรกในอัลบัม John Lennon/Plastic Ono Band ชื่อเพลง "Mother" ไม่ใช่เพลงที่ จอห์น เลนนอน แต่งขึ้นเพื่อสรรเสริญเทิดทูนมารดาของตัวเองแต่อย่างไร
บทเพลงแรกในอัลบัม John Lennon/Plastic Ono Band ชื่อเพลง "Mother" ไม่ใช่เพลงที่ จอห์น เลนนอน แต่งขึ้นเพื่อสรรเสริญเทิดทูนมารดาของตัวเองแต่อย่างไร



Mother, you had me
But I never had you
I wanted you
But you didn't want me
So, I got to tell you
Goodbye, goodbye

แม่ของ จอห์น เลนนอน เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนขณะที่เลนนอนอายุ ๑๗ ปี ส่วนพ่อของเขาทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่เลนนอนยังเป็นทารก เนื้อหาของเพลง "Mother" (ขับร้องด้วยน้ำเสียงโอดครวญ
ของคนเจ็บปวดสาหัส) จึงไม่ได้มุ่งหวังประจานความบกพร่องในหน้าที่ผู้ปกครองของคนทั้งสอง 
หากแต่เป็นการเปิดโปงสภาวะ "ขาดความอบอุ่น" ของผู้ประพันธ์ หากตีความว่ามันเป็นบทเพลงของมนุษย์ผู้ปราศจากความรัก และผิดหวังกับสภาพแวดล้อมของตนเอง "Mother" ก็คล้ายคลึงกับ "Please Please Me" และ "Imagine" อย่างน่าประหลาดใจ ทั้งที่เพลงหนึ่งแต่งโดยหนุ่มหล่อขวัญใจวัยรุ่น เพลงหนึ่งแต่งโดยผู้นำขบวนประท้วงต่อต้านสงคราม และอีกเพลงหนึ่งแต่งโดยผู้ป่วยทางจิตที่ต้องการการบำบัดโดย ซิกมุนด์ ฟรอยด์
"Isolation" ("ความโดดเดี่ยวเดียวดาย") อีกบทเพลงจากอัลบัมเดียวกัน สารภาพว่า

People say we got it made
Don't they know 
We're so afraid?
Isolation
We're afraid to be alone
Everybody got to have a home
Isolation

"ใครๆ ก็บอกว่าเราได้ดีไปแล้ว พวกเขาไม่รู้หรือว่าเราหวาดกลัวเหลือเกิน" จอห์น เลนนอน หมายถึงตัวเขา ภรรยา และพรรคพวกคนดังที่สังคมอิจฉาริษยาในความสำเร็จร่ำรวย แต่กระทั่งคนอย่าง
พวกเขาก็ไม่สามารถหลบหนีหลุดพ้นจากความรู้สึกหวาดกลัวการถูกทอดทิ้งซึ่งสร้างความทุกข์ลึกๆ ให้มนุษย์ส่วนใหญ่
จอห์น เลนนอน อาจหยิบยกคนอื่นมาอ้างอิงเชื่อมโยงไปกับความรู้สึกของตัวเองบ่อยครั้ง ทว่า ในความหมายที่แท้จริง เขาไม่ได้พูดถึงใครนอกจาก จอห์น เลนนอน

อัลบัม John Lennon/Plastic Ono Band คับคั่งไปด้วยบทเพลงเปิดโปงความทุกข์และเปลือยเปล่า
ความอ่อนแอ นอกจาก "Mother" และ "Isolation" ยังมี "God" ("The dream is over..." ความฝันสิ้นสุดลงแล้ว) และอีกหลายบทหลายตอนในแต่ละเพลงที่ จอห์น เลนนอน กู่ตะโกนบอกกับโลกที่รู้จักเขาดี ว่าเขาเป็นเพียงคนอมทุกข์ที่พยายามหาหนทางดำรงชีวิตอยู่อย่างสันติกับความทรงจำขมๆ และความสับสนขื่นๆ ไปให้ได้เท่านั้น
กระทั่งในเพลงเบาๆ ที่อ่อนโยนอย่าง "Love" เขายังสื่อว่า "Love is wanting to be loved," ความรักคือการ "ต้องการได้ความรัก" จากคนอื่น
"ความต้องการ" นั่นคือแก่นสำคัญในตัวตน และผลงานของ จอห์น เลนนอน "ความต้องการ" ที่ไม่เคยได้รับการตอบสนองเพียงพอ

หลังจากอัลบัม John Lennon/Plastic Ono Band และก่อนที่เขาจะถูกฆาตกรรมเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๘๐ จอห์น เลนนอน สร้างงานดนตรีออกมาอีกไม่น้อย หลายเพลงได้รับสถานะ
ของความเป็น "อมตะ" ไม่แพ้ "Imagine" และหลายเพลงเช่นกันที่สะท้อนตัวตนของคน "ขาดความรัก" อย่างตรงไปตรงมา ทำให้เขาเป็นหนึ่งในต้นแบบของนักร้องประเภท "ระบายเรื่องส่วนตัว" ที่กลายเป็นวัฒนธรรมเล็กๆ สืบเนื่องต่อมาในวงการดนตรีร่วมสมัย หากไม่มีเพลงเปลือยอารมณ์ของ จอห์น เลนนอน วงการเพลงอาจไม่เคยมี เคิร์ท โคเบน อาจไม่เคยมีคนอย่างเอมิเน็ม หรือใครก็ตามที่จงใจสร้างงานศิลปะจากปัญหาส่วนตัวโดยไม่เหนียมอายหวาดหวั่นต่อสายตาวิพากษ์ของสังคม

You can live a lie until you die
One thing you can't hide
Is when you're crippled inside


"คุณจะอยู่อย่างเสแสร้งหลอกลวงไปจนวันตายก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณไม่อาจปกปิดบดบัง คือความพิกลพิการภายในจิตใจของคุณ" จอห์น เลนนอน ครวญในบทเพลง "Crippled Inside" จากอัลบัม Imagine นั่นดูเหมือนจะเป็น "คติ" ประจำตัวที่เขาเชื่อมั่นและยึดปฏิบัตินับตั้งแต่หลุดพ้นจาก
ภาพของร็อกเกอร์หนุ่มหนึ่งใน "สี่เต่าทอง" วงดนตรีที่โด่งดังที่สุดในโลก
หรือบางที มันอาจเป็นคติที่เขาได้มาจากประสบการณ์เนิ่นนานก่อนหน้านั้น
ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กชายไร้ชื่อเสียง
ผู้ยื่นแขนร้องขอการโอบกอด
แต่ไม่เคยได้รับการตอบสนองจากใครเลยสักคนเดียว 

เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด จอร์จ แพตตี้ อิริค


 
ปี 1974
ปาร์ตี้หนึ่งที่บ้านของโรเบิร์ต สติกวู้ดในสแตนมอร์ แขกในวันนั้นมี จอร์จ แฮริสัน อดีตสี่เต่าทอง และภรรยา-แพ็ตตี้ ร่วมอยู่ด้วย เอริค แคลปตันทราบดีว่าเพื่อนรักของเขาอยู่ในงาน และแคลปตันก็ไปในงานนี้เพื่อคุยกับจอร์จโดยเฉพาะ เทพเจ้ากีต้าร์หนุ่มเดินดุ่มเข้าไปหาจอร์จ ไม่มีคำทักทายใดๆนอกจากคำถามสำคัญที่เขาเฝ้ารอที่จะเอ่ยมาแสนนาน
“กูรักเมียมึงว่ะจอร์จ…มึงจะว่าไงวะ?”
 แพ๊ตตี้ บอยด์ นางแบบดาวรุ่งได้พบกับจอร์จ แฮริสันครั้งแรกในการถ่ายภาพยนตร์เรื่อง A Hard Day’s Night เมื่อปี 1964 ทั้งคู่แต่งงานกันในอีกสองปีต่อมา ในขณะที่ The Beatles ยิ่งใหญ่จนจะกลายเป็นสถาบันมากกว่าแค่วงดนตรี ความเหมาะสมของจอร์จและแพ้ตตี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครกังขา แพ้ตตี้นั้นนอกจากจะสวยน่ารักในแบบสาวอังกฤษผสมบริจิตต์ บาร์โดต์ ยังเป็นคนที่มีรสนิยมเฉียบและอินเทรนด์สุดๆ เธอมีอิทธิพลถึงขนาดเป็นคนแรกที่ชักจูงจอร์จและเพื่อนๆBeatles เข้าหาวิธีการนั่งวิปัสนาอันนำไปสู่การเดินทาง

 ไปแสวงหาความสงบในอินเดียในปี 1968 ‘Something’ เพลงของ The Beatles ที่ดังที่สุดที่เป็นงานประพันธ์ของจอร์จ ก็เป็นที่เชื่อกันว่าแรงบันดาลใจสำคัญมาจากตัวแพ้ตตี้ (แต่จอร์จไม่เคยยอมรับ)
แคลปตันและแฮริสันรู้จักกันมาตั้งแต่งานคริสต์มาสโชว์ของ Beatles ในปี 1964 แต่พวกเขามาเริ่มซี้กันจริงๆก็ยุคที่แคลปตันอยู่ในCream จอร์จเคยพาแพ้ตตี้ไปชมการแสดงของCreamครั้งหนึ่งที่ โรงภาพยนตร์ซาวิลล์ในลอนดอนที่เป็นของไบรอัน เอ็บสไตน์ผู้จัดการวง Beatles แพ้ตตี้เริ่มแอบปลื้มแคลปตันนิดๆตั้งแต่เห็นเขาบนเวทีวันนั้น “เขาเท่สุดๆและเล่นได้มหัศจรรย์มากๆ” คืนนั้นไบรอันจัดปาร์ตี้ต่อหลังคอนเสิร์ทและแพ้ตตี้ก็ประทับใจกับความเงียบขรึมไม่พูดไม่จาของแคลปตัน แบบว่าเก๊กเงียบได้สง่าจริงๆ
แคลปตันมาปิ๊งแพ้ตตี้จริงๆก็ในปี 1969 ช่วงนั้นครีมแยกย้ายกันไปแล้ว ส่วนวง Blind Faith ก็ยังไม่รู้ชะตากรรมสมชื่อ ก่อนหน้านี้ แคลปตันไปโซโลในเพลง While My Guitar Gently Weeps และจอร์จก็แต่งเพลง Badge ให้Cream และยังเล่นกีต้าร์ร่วมด้วย แคลปตันซื้อบ้านใหม่ในแถบใกล้ๆบ้านของจอร์จและแพ้ตตี้ที่ Esher ช่วงนั้นแคลปตันค่อนข้างจะว่างงานและปราศจากคู่ควงเป็นตัวเป็นตน เขาแวะเวียนไปนั่งคุยทีบ้านจอร์จบ่อยๆ “ทุกๆครั้งที่ผมจากบ้านจอร์จมา ผมจะรู้สึกอ้างว้างอย่างแสนสาหัส มันเป็นเพราะผมรู้ว่าผมคงไม่มีโอกาสได้เจอผู้หญิงคนไหนที่งดงามอย่างนี้อีก ผมรู้ว่าตอนนั้นผมหลงรักเธอเข้าแล้ว มันเป็นรักแรกพบ และอาการมันก็รุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ” แคลปตันเล่า 






 มันเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีทางออก จอร์จเป็นเพื่อนรักของเขา และสถานภาพก็เหนือกว่าแคลปตัน “ไม่เคยมีใครแย่งเมียบีเทิลส์มาก่อน มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้” แคลปตันเล่าถึงความคับข้องใจ “ผมรู้ตัวดีว่าไม่มีทางสมหวัง “
แต่แคลปตันก็ไม่ได้เก็บตัวร้องไห้เล่นกีต้าร์อยู่คนเดียว แม้จะสิ้นหวัง แต่เขาก็ยังพยายาม แต่วิธีการในการจีบสาวของกีต้าร์เทพนั้นช่างพิลึกพิกลซะ ครั้งหนึ่งเขาออกเดทกับ พอลล่า น้องสาวแท้ๆของแพ้ตตี้ที่อายุแค่ 18 ปี ด้วยหวังว่าจะดึงความสนใจของแพ้ตตี้ได้ มุขต่อมาก็คือการโทรไปให้แพ้ตตี้หาเพื่อนนางแบบให้หน่อย เพราะตอนนี้เฮียเหงาเหลือเกิน แพ้ตตี้ก็จัดให้เพราะเผอิญเธอมีเพื่อนนางแบบที่ว่างๆอยู่พอดี เธอพาเพื่อนไปที่อีเอ็มไอสตูดิโอที่จอร์จกำลังบันทีกเสียง All Things Must Pass ซึ่งแคลปตันเล่นกีต้าร์ให้ด้วยอยู่ คืนนั้นแคลปตันโชว์ความถ่อยสถุลใส่เพื่อนแพ้ตตี้สุดๆ จนเธอทนไม่ไหวแจ้นหนีไป แคลปตันโทรมาวันรุ่งขึ้นและบอกกับแพ้ตตี้หน้าตาเฉย “ผมไม่ได้ต้องการให้คุณหาสาวให้สักหน่อย ผมต้องการคุณต่างหาก”
ดูเหมือนยอดมือกีต้าร์จะคาดเดาสถานการณ์ถูก  แพ้ตตี้อาจจะมีใจให้เขาอยู่ แต่เธอก็ไม่อาจทิ้งจอร์จมาหาเขาดื้อๆได้ ระหว่างนั้น แคลปตันไปได้หนังสือของเพอร์เซียมาเล่มหนึ่งจากเพื่อนชื่อ เอียน ดัลลาส หนังสือเล่มนั้นคือ The Story Of Layla and Majnun , Laylaคือเจ้าหญิงผู้สูงส่งที่ถูกพ่อบังคับให้แต่งงานกับชายที่หล่อนไม่ได้รัก ส่วน Majnun นั้นแปลเป็นไทยได้ว่า “คนบ้า” เขาคือชายผู้หลงรัก Layla หลงรักจนเป็นบ้า แคลปตันอ่านแล้วก็อินเต็มเปา เขานั่นหรือคือ Majnun ส่วนแพ้ตตี้นั้นไซร้ก็ย่อมต้องเป็น Layla
แคลปตันใช้แรงบันดาลใจและหัวใจร้าวรานมาเป็นธีมหลักของอัลบั้ม Layla and other Assorted Love Songs ที่เขาบันทึกเสียงร่วมกับวงใหม่ของเขา Derek And The Dominos เพลง Layla เป็นเพลงที่เขาตั้งใจแต่งให้แพ้ตตี้แบบตรงๆด้วยเนื้อหาอย่าง ‘I tried to give you consolation; When your old man had let you down. Like a fool, I fell in love with you. You turn my whole world upside down.’ หรือ ‘Please don’t say we’ll never find a way and tell me all my love’s in vain.’ เพลงและอัลบั้มนี้กลับกลายเป็นงานบลูส์ร็อคชั้นคลาสสิกของวงการดนตรี เสียงร้องและการเล่นกีต้าร์ของแคลปตันทุกเม็ดดุจกลั่นมาจากน้ำตาที่หัวใจเขาร่ำไห้ออกมา ดวน ออลแมนโคตรมือสไลด์จาก Allman Brothers มาร่วมขยี้กีต้าร์ด้วยในหลายแทร็ค

 คืนหนึ่งหลังจากการพบกันโดยบังเอิญที่โรงละคร แคลปตันสบโอกาสพาแพ้ตตี้มาบ้านและเปิดอัลบั้มนี้ให้ฟังทั้งอัลบั้ม พร้อมกับยัดหนังสือเล่มนั้นให้อ่าน แพ้ตตี้รู้สึกสับสนและมึนไปหมดกับอารมณ์ของตัวเอง ทั้งปลื้ม ช็อค ความจริงจังของแคลปตันก็ทำให้เธอหวาดผวา “ฉันรู้ว่าความรู้สึกของเขาที่มีให้ฉันนั้นมันรุนแรงมาก แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นอุทิศเพลงให้ทั้งอัลบั้มอย่างนี้” หลังจากนั้นทั้งคู่แอบลอบเจอกันเป็นครั้งคราว แต่ในที่สุดแพ้ตตี้ก็ละอายใจและบอกว่าจะเจอแคลปตันอีกครั้งเดียวเป็นครั้งสุดท้าย…. กีต้าร์เทพทำอะไรไม่ถูก เขายื่นข้อเสนอที่ทั้งโง่เขลาและน่าสมเพช ด้วยการกระแทกถุงเฮโรอีนลงบนโต๊ะและขู่ว่าถ้าเธอตัดขาดจากเขา เขาจะอยู่กับไอ้นี่ไปตลอดอีกสองปีข้างหน้า ผลก็คือแพ้ตตี้วิ่งเตลิดออกไปและเก็บตัวเงียบในบ้านจอร์จไม่ออกมาเจอแคลปตันอีกเลย ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้น แคลปตันทำตามสัญญา  แถมยังเกินอีก สามปีต่อมาชีวิตของเขาดำดิ่งถึงก้นบึ้งไปกับเหล่ายาเสพติด ขณะเดียวกันแพ้ตตี้ก็เริ่มเบื่อหน่ายชีวิตสมรสกับจอร์จที่วันๆเอาแต่บ้าปรัชญาอินเดียไม่สนใจอะไรเลย
พีท ทาวเชนด์แห่ง The Who เป็นคนสำคัญที่ดึงแคลปตันให้เลิกยาได้ “เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เอริครอดตายออกมาได้ก็เป็นเพราเขายังคิดว่าเขายังอาจจะมีโอกาสอยู่บ้างที่ฝันจะเป็นจริง เขาต้องกลับมา”
และการกลับมาคราวนี้แคลปตันมุ่งมั่นเต็มที่ว่างานนี้จะไม่มีกรณี “ผัวเผลอมาเจอกัน” อีกแล้ว เขาต้องคุยกับจอร์จให้รู้เรื่องไปเลย(โว้ย)

 “กูรักเมียมึงว่ะจอร์จ…มึงจะว่าไงวะ?”
“เอาไงก็เอาว่ะเพื่อน กูไม่วอรี่หรอก”

 แคลปตันแทบช็อคกับคำตอบของจอร์จ แฮริสัน เขาคิดว่างานนี้น่าจะโดนจอร์จตั้นหน้ามากกว่า ส่วนแพ้ตตี้กลับเฮิร์ทมากที่จอร์จทำกับเธอเหมือนไร้ค่า
“มึงเอาเมียกูไป แล้วก็เอาแฟนมึงมาแลกกัน” จอร์จเสริมด้วยกลัวเพื่อนรักจะเกรงใจที่ได้ของฟรี
แต่แพ้ตตี้ก็ไม่ได้วิ่งไปซบอกแคลปตันทันที มันจะทุเรศไปหน่อย แคลปตันใช้ยุทธวิธีอีกสองสามประการในการจูงใจ  แต่ประเด็นสำคัญดูเหมือนแพ้ตตี้จะรอดูให้แน่ใจว่าจอร์จไม่แคร์อะไรเธออีกแล้ว และในที่สุดขณะที่แคลปตันทัวร์อเมริกาเพื่อโปรโมทอัลบั้มคัมแบ็คของเขา 461 Ocean Boulevard แพ้ตตี้ก็ตอบรับด้วยการบินไปร่วมทัวร์กับเขา นั่นเป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่แท้จริงของ ‘Layla’ และ ‘Magnun’
ความสัมพันธ์ของแคลปตันและจอร์จยังเป็นไปด้วยดี หนึ่งปีต่อมาขณะที่ทั้งสามกำลังนั่งคุยกัน จอร์จก็โพล่งขึ้นมาว่า “กูว่ากูคงต้องหย่ากับเธอแล้วว่ะ” แคลปตันตอบทันควัน “งั้นกูก็คงต้องแต่งกะเธอซะทีแล้วโว้ย!”
แคลปตันและแพ้ตตี้แต่งงานกันในปี1979 (จอร์จไปงานนี้ด้วย)  หลังจากเธอหย่าขาดจากจอร์จได้สองปี  แคลปตันแต่งเพลงให้แพ้ตตี้อีกหลายเพลง หนึ่งในนั้นคือ ‘Wonderful Tonight’ ถ้าเป็นนิทานเรื่องนี้ก็คงต้องจบอย่างชื่นมื่น แต่ชีวิตจริงก็คือ พวกเขาไปกันไม่รอด ปัญหาใหญ่อยู่ที่ตัวแคลปตันที่หันไปติดเหล้าอย่างหนัก และความติสต์แตกต่างๆนาๆ บวกกับนารีอื่นๆ บ๊อบบี้ วิทล็อคเพื่อนของทั้งสองและหนึ่งใน The Dominos สรุปเรื่องนี้ไว้ว่า
“จริงๆแล้ว เธอไม่ใช่คนที่เขาต้องการโดยสิ้นเชิง ก็อย่างว่า การล่าน่ะมันน่าตื่นเต้นกว่าการฆ่า”
ทั้งคู่แยกทางกันในปี 1988 และชีวิตก็ดำเนินต่อไป…


เงื่อนงำของข่าวลือ "พอลตายแล้ว" บนปกอัลบั้ม Abbey Road

ฤดูใบไม้ร่วงปี 1969 หลังจาก The Beatles วางแผลอัลบั้ม Abbey Road ไปไม่นาน ข่าวลือเรื่อง “พอลตายแล้ว” ก็แพร่ไปทั่วสหรัฐอย่างรวดเร็ว โดยมีปกอัลบั้มนั้นแหละที่เป็นจุดชนวนปัญหา


ปกอัลบั้มที่โด่งดังที่สุดปกหนึ่ง
ปกอัลบั้มที่โด่งดังที่สุดปกหนึ่ง


       ไม่เชื่อใช่มั้ยละ ถ้าอย่างนั้นลองมองดูที่ปกอัลบั้มซิ คุณจะเห็นว่าพอลเป็นคนเดียวที่เดินผิดสเต็ปกับคนอื่น ซึ่งเป็นวิธีดึงดูดความสนใจทั้งหมดมาที่พอลนั่นเอง นอกจากนี้ พอลยังเป็นคนเดียวที่ไม่ใส่รองเท้าซึ่งในหลายประเทศ ในการทำพิธีศพ ผู้ตายจะไม่สวมรองเท้าตอนฝัง ต่อมาลองดูชุดที่พวกเขาใส่ซิ จอห์นสวมชุดขาวทั้งหมดแม้แต่รองเท้า นั่นหมายความว่าเป็นตัวแทนของนักบวช ส่วนริงโก้ก็เป็นสัปเหร่อ พอลที่สวมชุดโคร่งและไม่สวมรองเท้าก็หมายถึงคนตาย และจอร์จที่ใส่กางเกงยีนส์เก่าๆหมายถึงคนที่ขุดหลุมฝังศพนั่นเอง บรึ๋ย น่ากลัวเนอะ ว่ากันว่าปกอัลบั้มดังกล่าวเป็นภาพของการทำพิธีศพย่อมๆนั่นเอง เงื่อนงำยังไม่จบเพียงเท่านี้นะ ถ้าลองสังเกตที่มือพอลดีๆ จะเห็นว่าเขาถือบุหรี่อยู่ซึ่งมีคนเปรียบว่าเป็นตะปูตอกโลง ! แต่ใครก็ตามที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของวงนี้แล้ว จะรู้ว่าพอลนั้นเป็นคนถนัดซ้าย ! แต่ในภาพพอลถือบุหรี่อยู่ที่มือขวา แสดงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพอล แม็คคาร์ทนีย์ที่พวกเราชื่นชมนักหนาไม่ใช่ตัวจริงอย่างนั้นละซิ !

รถตำรวจที่รีบรุดมาที่เกิดเหตุ
รถตำรวจที่รีบรุดมาที่เกิดเหตุ



ข้างหลังจอร์จ แฮร์ริสันมีรถโฟล์คสวาเกนสีขาวจอดอยู่รถคนนี้ตอนแรกเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จนแล้วจนรอดป้ายทะเบียนของรถซึ่งคือ 28 IF ก็ถูกนำมาโยงกับเรื่องนี้เข้าจนได้ ป้ายทะเบียนดังกล่าวถอดความได้ว่า พอลจะอายุครบ 28 ปีถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ และคุณตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ถูกเรียกมาเพื่อเคลียร์ที่เกิดเหตุในอุบัติเหตุรถชน
ของพอลเมื่อปี 1966 นั่นเอง อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจจะหาเหตุผลร้อยแปดมาโต้แย้ง The Beatles ก็พยายามทำแบบนั้นเช่นกัน แต่ไม่ได้ผลหรอกนะ คุณอาจจะคิดว่าเรื่องที่พอลจะอายุครบ 28 ในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาก็ถือว่ามีอายุ 1 ปีแล้ว ดังนั้นพอลจะมีอายุครบ 28 ในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้นถ้าเขายังมีชีวิตอยู่แน่นอน! และพวก The Beatles ก็คงจะแก้ตัวไม่ได้ด้วย เพราะใครๆก็รู้ว่าพวกเขาหลงไหลในวัฒนธรรมอินเดียแค่ไหน ส่วนตัวอักษร LMW ข้างบนนั้นหมายถึง "Linda McCartney Widowed" ซึ่งหมายความว่า ลินดา แม็คคาร์ทนีย์หญิงหม้าย หรือ "Linda McCartney Weeps" ที่แปลว่า ลินดา แม็คคาร์ทนีย์ร้องไห้ อะไร๊มันจะเหมาะเจาะขนาดนั้น

ปกหลัง
ปกหลัง


ความตื่นเต้นยังไม่หมดเพียงเท่านี้ พลิกกลับไปดูปกหลังของอัลบั้มดูซิ คำว่า The Beatles ตรงตัว S มันมีรอยแตกอยู่เห็นมั้ย นั่นทำให้ชื่อของวงไม่สมบูรณ์ และเห็นวงกลม 8 จุดข้างๆชื่อวงมั้ยค่ะ มันเรียงกันเป็น 3 วง แทนที่จะเป็น 4 ด้วยแหละ สุดท้าย ผู้หญิงชุดฟ้าเข้ามาเกี่ยวอะไรด้วย? ลองมองภาพจากที่ไกลๆแล้วสังเกตที่ข้อศอกของผู้หญิงคนนี้ดูซิ จะมีภาพของพอลปรากฎขึ้น


มาต่อกันที่เรื่องเพลงในอัลบั้มนี้บ้าง เนื้อเพลงก็บอกความลับบางอย่างให้เรารู้เหมือนกันนะ

เพลง Come Together (ขอยกมาเฉพาะท่อนเจ้าปัญหานะค่ะ อยู่ท่อนที่ 2)

He wear no shoeshine หมายถึงพอลที่ไม่ได้ใส่รองเท้าเดิน
He got toe-jam football หมายถึงรักบี้ซึ่งพอลชอบเล่น
He got monkey finger หมายถึงผอมจนเห็นกระดูกนั่นก็คือโครงกระดูกนั่นเอง
He say "I know you, you know me" ท่อนนี้มีผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์มาว่า พอลร้องเพลงประโยคดังจากหลุมศพของตัวเอง 
นอกจากนี้ยังมีท่อนที่ร้องว่า One and one and one is three ที่แปลว่า หนึ่งบวกหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสาม อีกด้วย จะอธิบายยังไงได้อีกล่ะนอกจาก The Beatles มันเหลือกันอยู่ 3 คน !
 เพลง Sun King
  
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14

 เพลงนี้ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศส และวรรณกรรมเลื่องชื่อเล็กน้อย กล่าวคือ Sun King ผู้คนทั่วไปจะรู้จักกันในนาม “พระเจ้าหลุยส์ที่ 14” ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ที่เรืองอำนาจมากในสมัยนั้น จนทำให้ อเล็กซานเดอร์ ดูมาส นำเรื่องของท่านมาแต่งเป็นนวนิยายเรื่อง “Iron Mask” หรือเจ้าชายหน้ากากเหล็กนั่นเอง เรื่องราวดังกล่าวเกี่ยวกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ตัวจริงที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้หน้ากากเหล็ก โดยท่านถูกสลับตัวกับฝาแฝดของท่านโดยมีคนวงในเป็นผู้จัดการเรื่องราวทั้งหมด หลายคนอาจจะงงว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับการตายของพอลยังไงล่ะ ถ้ายังจำกันได้ หลังการตายของพอลในปี 1966 The Beatles ที่เหลือพยายามปิดข่าวและหา “ตัวตายตัวแทน” ของพอลเข้ามาซึ่งก็คือนายวิลเลี่ยม แคมป์เบล ยิ่งไปกว่านั้น 3 เพลงสุดท้ายของอัลบั้มที่เป็นเพลงต่อกัน ก็อธิบายอะไรๆได้ดีอีกด้วย เพลง Golden Slumbers หมายถึง การนอนยาวๆ (ก็ตายนั่นแหละ) เพลง Carry That Weight หมายถึง การแบกโลงที่มีศพอยู่ข้างใน และสุดท้าย เพลง The End ซึ่งไม่ต้องอธิบายอะไรก็น่าจะเข้าใจ

Lennon/McCartney :Two of Us 3 (จบ)


 Paul McCartney อาจจะชิงออกอัลบัมได้ก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชนะ Lennon
อัลบัมของ Paul ก็ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเลย อาจเพราะงานที่ทำในเวลาเร่งรีบ การที่พอลดันทุรังเล่นดนตรีทุกชิ้นด้วยตัวเอง หรือ อะไรก็ไม่ทราบ ...ตรงกันข้ามกับ Plastic Ono Band ของ John ที่แม้จะไม่ได้ขายดี แบบอัลบัม Beatles แต่นักวิจารณ์ก็ยกย่องอัลบัมนี้กันมากซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป หลายคนยกให้ เป็นอัลบัมที่ดีที่สุดของ John Lennon ด้วยซ้ำ

 ท่อนหนึ่งในเพลง GOD ของ Lennon ผู้ขณะนั้นกำลังบำบัดทางจิตด้วยวิธี 'Primal Scream' (ต่อมาBobby Gillespie เอาไปตั้งเป็นชื่อวง) หลักการคือ การตะโกนความเครียดออกมา แบบ ตรงไปตรงมา เราจึงเห็นเนื้อเพลงอย่าง

I don't believe in Beatles
I just believe in me...Yoko and Me....and that reality

หรือในเพลง Mother ซึ่ง ก็ร้องเกี่ยวกับแม่ " Mother, you had me but I never had you "

John กับ Yoko หนุงหนิงกันอย่างนี้ มีหรือ Paulจะยอม เขาไปซุ่มทำเพลงในสตูดิโอชนบทกับ Linda บ้าง
Paul ทำอัลบัม 'RAM' กับLinda โดยมีบางเพลง เนื้อหากระทบ John และ Yoko เช่น Too Many People
  


Too Many People ว่ากันว่าโจมตี Yokoในฐานะ 'ตัวเจือก' ที่เข้ามาเกะกะการทำงานของBeatles เมื่อนักข่าวถาม Paul ก็ปฏิเสธตลอดแต่ John ไม่เชื่อเช่นนั้น John ถือว่านี่เป็นการประกาศสงคราม


           ต่อมา Paul ได้ร่วมกับนักดนตรีอีก 3 คน รวมทั้ง Denny Laine จากวง The Moody Blues ตั้งวงดนตรีชื่อ Wingsขึ้นมา และนำLinda มาร่วมเล่นคีย์บอร์ดและเปียโนกับช่วยร้องเพลงด้วย Paul ถูกวิจารณ์มาก เพราะLinda เล่นดนตรีไม่ได้เรื่อง และเสียงร้องก็แย่ เหตุที่Paul ทำเช่นนี้ก็เพราะ เห็นJohnและYokoร่วมกันผลิตผลงานออกมานั่นเอง

วงwings ของPaul McCartney มุ่งมั่นทำดนตรีลูกกวาดแบบยุค 70 เน้นการออกทัวร์แบบอลังการๆ ตัดsingleทำอันดับเป็นว่าเล่น ถ้ามองให้แง่การตลาด Paul ถือว่าประสบความสำเร็จมากนักเพราะ ในขณะนั้น John และ Yoko มุ่งไปทำกิจกรรมเพื่อสันติภาพมากกว่าทำเพลง แต่นั้นกลับสร้างบารมีบางอย่างขึ้นมา ยิ่งเมื่อทั้งคู่ย้ายไปนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา กลายเป็นผู้นำความคิดของหนุ่มสาวที่นั่น จนเป็นภัยต่อชาติ ในสายตานักการเมือง (ภายหลังพบเอกสารที่FBI พยายามไล่ Lennon ออกนอกประเทศ รวมทั้งการพยายามไม่ต่อ GreenCard ให้เขา)



       Paul ตัดขาดจาก beatles โดยสิ้นเชิง ในแง่ดนตรี Paulไม่ยุ่งกับสมาชิกคนอื่นๆอีกเลย ในขณะที่ John ยังมี George และ Ringo วนเวียนๆ มาช่วยงานเสมอๆ

      John เริ่มตอบโต้ Paul ในเพลง How do you sleep อัลบัม 'Imagine' 
ที่กัด paul ตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ทั้ง Sgt.pepper , เพลงyesterday ด้วยชื่อเพลงเป็นคำถามประมานว่า"นอนหลับตาสนิทไหมไอ้สัด!"

โดยทำอินโทรเลียนแบบเพลง Sgt.Pepper ที่เป็นลูกรักของ Paul และมีเนื้อเพลงด่าตรงๆอย่าง
"So Sgt. Pepper took you by surprise" ประมานว่ามึงฟลุกแต่ง Sgt.Pepper ได้ล่ะวะ "The only thing you done was Yesterday" ประมานว่าวันๆเอาแต่พร่ำถึงเพลง Yesterday ของมึงอ่ะดิ แสบกว่านั้น ยังได้ george harrison มาเล่นกีต้าร์ให้ด้วย ใครๆก็ไม่รัก Paul จริงๆ น่าสงสาร

    ก่อน Paulจะโต้กลับด้วยเพลง "Dear Friend " ประมานว่า ว่า"ว่างมากเหรอไอ้สัด"

Dear friend, whats the time? 
Is this really the borderline? 
Does it really mean so much to you? 
Are you afraid, or is it true?

 ในอัลบัมนี้เอง John ยังมีเพลงคลาสสิกตลอดการ ชื่อเดียวกับอัลบัมนั่นคือ Imagine เพลงอุดมคติ ทางสันติภาพ ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของตัวเขาไปตลอดกาล เมื่อเวลาผ่านไป เพลงนี้ จะถูกนึกถึงทุกครั้งที่โลกต้องการความสันติ

หลายคนเริ่มมองว่า เพลงของ Paul คือเพลงตลาด ในขณะที่ ของ John เป็นปรัชญา เป็นกวี เพื่อสันติภาพ แต่ปี1974 Paul และวง wings ของเขาออกอัลบัม 'Band on the Run' ออกมาตอกหน้านักวิจารณ์ทั้งหลายเสมือนการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของpaul ทั้งด้านรายได้ และคำวิจารณ์ ว่ากันว่านี่เป็นอัลบัมที่แนวพอลแท้ๆ ที่ทำออกมาได้ดี และ ลงตัวที่สุด

ยุค70ผ่านไป ต่างฝ่ายต่างทำงานของตน ดูเหมือนความขัดแย่งก็ค่อยจางลงเรื่อยๆตามวัยวุฒิ ช่วงปี75 

โฉมหน้า เมย์ แปง ช็อคยิ่งกว่าป้าโยโกะ

 John และ Yoko แยกทางกันชั่วคราว John เริ่มคบกับ May Pang ผู้ซึ่ง Yoko จัดให้เอง...งงไหมล่ะ?...Yoko บอกว่า เราคงไปกันไม่รอด ยังไงแกลองคบกะเลขาฉันไปก่อนละกัน ฉันก็จะไปเดทกะคนอื่น ดูๆไปก่อนว่าจะไปรอดไหม .... ช่วงชีวิตนี้ของLennon ถูกเรียกว่า 'Lost Weekend' John เริ่มกลับมาทำตัวเป็นวัยรุ่น กินเหล้า จัดปาร์ตี้ ทำอัลบัมชื่อ Rock 'n' Roll ซึ่งเป็นเพลง cover ทั้งหมด โดยส่วนมากเป็นเพลงที่เขาจำขึ้นใจ สมัยเล่นในคลับกับ beatlesนั่นเอง

 ขณะที่ Paulและ Linda มีลูกชายลูกสาวเต็มบ้าน เวลาออกทัวร์ก็ยกกันไปทั้งบ้าน เสมือนกิจกรรมครอบครัว ช่วงนี้เอง Paulและครอบครัว ได้มาเยี่ยมJohn ขณะกำลัง 'Lost Weekend' ดูเหมือนความขัดแย้งเก่าๆ จะถูกเก็บไปหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งยังร่วมแจมกันในห้องอัด พร้อมนักดนตรีอื่นๆเป็นครั้งแรกตั้งแต่Beatlesแตก (และครั้งเดียว) ภายหลังออกมาเป็น Bootleg ทรงคุณค่าอันหนึ่งที่แฟน Beatles ต้องเก็บมาสะสม

 The Beatles ทั้ง 4เริ่มไปมาหาสู่กัน แบบเพื่อนรักดังเดิม พาครอบครัวไปหากัน เยี่ยมกันและกัน หรือ Beatles จะรวมตัว?
John ให้สัมภาษณ์ช่วงนี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่beatlesจะกลับมา และเขาก็happy ถ้ามันเกิดขึ้นจริง

แต่แล้วความฝันก็ต้องสลาย ไม่ใช่เพราะใคร... Yoko Onoคนเดิม John อยู่ๆไปเริ่มทนไม่ไหว ซมซานกลับไปหา Yoko เพราะอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเธอ ทันทีที่ John กลับไปหา Yoko แล้วเรื่อง Beatles ก็ออกจากหัวเขาไปตลอดกาล
ยิ่งเมื่อ Yoko ให้กำเนิดลูกชาย Sean Lennon

แล้ว John Lennon ก็ตัดขาดจากวงการดนตรี ทำตัวเป็นพ่อบ้านเลี้ยง เป็นเวลา 4-5 ปี! หลายคนคิดว่าเขาวางมือไปแล้ว ลาออกจากวงการไปแล้วด้วยซ้ำ

ในขณะที่ Paul หลังจากอิ่มตัวกับวง Wings เขาก็ยุบวง ในปี80 เขาก็ ทำอัลบัมเดี่ยวชื่อ 'McCartney II' เป็นภาคต่อกลายๆกับ 'McCartney' เมื่อปี70 โดยพอลเล่นดนตรีเองทุกชิ้นเหมือนกับครั้งแรก ปีเดียวกันนี่เอง John ก็กลับสู่ห้องอัดเพื่อทำอัลบัม'Double Fantasy'

ยุค80 กำลังจะเริ่มต้น Paul และ John ล้วนอยู่ในสถานะศิลปินรุ่นใหญ่ การแข่งขันยังคงดำเนินต่อไป และแม้จะมีโอกาสน้อยแค่ไหน แต่แฟนก็ยังหวังว่า Beatles จะกลับมารวมตัวกันซักวัน


แต่ในวันที่ 8 ธันวาคม 1980 ฝันก็ต้องสลายไป เมื่อ John Lennon ถูกแฟนเพลง Mark David Chapman ยิงเสียชีวิต หน้าอพาร์ทเมนต์ตัวเองที่นิวยอร์ค ในวัย 40 ปี 

 หลังจากหายจากวงการไปนานสี่ห้าปี เขาพร้อมจะกลับมาแล้ว ลูกชายก็กำลังจะโต กรีนการ์ดก็ได้แล้ว ทุกอย่างต้องหยุดลง 
ไม่นานYoko ออกมาแถลงข่าว ให้ยุติความโศกเศร้า ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ยุค80's ก็ยังคงจะเป็นช่วงเวลาที่งดงาม อีกทั้งกล่าวว่า เธอเพึ่งบอก Sean lennon ไปถึงการตายของผู้เป็นพ่อ และเขากำลังร้องไห้อยู่ติดต่อกันมานานแล้ว


Paul McCartney ให้สัมภาษณ์อย่างอ่อนโรยว่า John เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ เขาจะถูกจดจำในฐานะผู้ที่อุทิศตนให้ศิลปะ,ดนตรี และสันติภาพของโลก ต่อมา Paul เดินทางไปเยี่ยม Yoko เพื่อปลอบใจ John Lennon เป็นยิ่งกว่าบุคคลไปแล้ว เขากลาย เป็นสัญลักษณ์ไปแล้ว ...สัญลักษณ์ของสันติภาพ ความดีงามในโลก

ต่อจากนี้ Paul ไม่ได้แข่งขันกับ John Lennon อีกต่อไปแล้ว เขากำลังแข่งขันกับอะไรที่เขาไม่มีวันชนะ (หรืออาจต้องตายก่อนถึงจะพอสู้ได้)


ผ่านไป ถึงปี 1982 Paul ออกอัลบัม Tug of War ที่ทำงานกับ george martin เป็นครั้งแรกหลัง beatles แตกวง
Paul อุทิศ เพลง 'Here Today' ที่เล่าถึงช่วงเวลาดีๆที่เขากับ จอห์นมีให้กัน ไม่ว่าจะการทำงาน หรือชีวิตส่วนตัว ช่วงเวลาสุขเศร้าที่ ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกันมาตั้งแต่วัยรุ่น

What about the time we met,
Well I suppose that you could say that we were playing hard to get.
Didnt understand a thing. But we could always sing.

 อัลบัม Tug of war ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีมาก อาจเป็นอัลบัมที่ดีที่สุดในยุค 80 ของ paul เลยก็ว่าได้

แต่เมื่อเวลาผ่านไป Paul ที่ยังทำงานเพลงเรื่อย ก็ไม่อาจจะเทียบมาตรฐานเดิมๆของตัวเองได้
กลายเป็นเพียงศิลปินรุ่นใหญ่คนหนึ่ง ที่น่ายกย่องชื่นชม ในขณะ John เป็นตำนาน เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่รุ่นใหม่ๆโตมากับภาพลักษณ์นั้นๆด้วยความไม่รู้จริง ทำให้มอง John Lennon เป็นทุกอย่างของ The Beatles ไปด้วย 

หลายครั้ง Paul บอกว่าเขาเปิดหนังสือเพลง แล้วเจอ Yesterday,Let it be อยู่ในสมุดรวมเพลงLennon ทำให้เขาเจ็บใจไม่น้อย..Paul ผู้เคยอยู่ระดับเดียวกับ john กลับถูก ประเมินค่าต่ำกว่าความจริงลงไปเรื่อยๆ ทั้งนี้มิใช่ Paul ด้อยบารมีลง แต่ เพราะ John Lennon ถูกดันขึ้นสูงสุดๆ เพราะการตายของเขานั้นเอง


ยุค 80 paulร่วมงานกับศิลปินดังอย่าง Michael Jackson , Stevie Wonder
มีเพลงขึ้นอันดับไม่น้อย เรียกว่าประสบความสำเร็จทีเดียว

ผ่านไปสู่ยุค 90 Paul, George, Ringo กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อทำสารคดี ทางโทรทัศน์เกี่ยวกับ the beatles
ออกอากาศเดือนหนึ่ง ชื่อ Anthology นอกจากนั้นยังมีการทำอัลบัม 3ชุด 6แผ่น รวบรวมเพลงในtake ต่างๆของbeatles ที่ไม่เคยออกขาย รวมถึงการแสดงสดอีกด้วย

โอกาสนี้ Yoko ได้มอบ demo ของ John 2 เพลงคือ Free as a bird , Real Love ให้ beatles ทั้งสามทำต่อ แล้วมันก็กลายเป็นsingle ล่าสุดของ The Beatles ในรอบ20กว่าปี

จากประสบการณ์ใน Anthology ทำให้ไฟของ Paul กลับมาอีกครั้ง เขาทำอัลบัม Flaming Pie ในปี 1997 เป็นการกลับมาอีกครั้งของ เขาในยุค 90

ต่อมาLindaภรรยาของ Paulเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง สิ้นสุดชีวิตคู่อันยาวนานของทั้งคู่


ยุค90ดำเนินไป
...Paulได้รับ แต่งดังเป็นท่าน Sir
...Paul บรรจุชื่อ Rock and Roll Hall of Fame ซึ่งช้ากว่า John เป็น 10กว่าปี
...Paul เป็นศิลปินที่ทำงานต่อปีมาที่สุด และ รายได้มากที่สุด อันดับต้นๆ

พอลมีความพยายามหลายครั้งที่จะ เปลี่ยนเครดิต Lennon/McCartney เป็น McCartney/Lennon ในเพลงที่เขาแต่งโดย เฉพาะ Yesterday แต่เมื่อขออนุญาติ โยโกะ ก็ถูกปฏิเสธเสมอ รวมทั้ง สมาชิกbeatles ที่เหลือก็ไม่ค่อยเห็นด้วย paul พยายามหลายครั้ง กระทั่งถึงจุดที่เขายอมรับว่า"บางอย่างเราคงทำได้แค่ ปล่อยให้มันเป็นอย่างที่เคยเป็นมา"

หลายคนมองว่า นับวัน John ยังเหนือ เขาเข้าไปทุกที เขาพยายามทวงความสำเร็จที่เป็นขอเขาออกมาบ้าง เพื่อคงสถานะความเป็นตำนานเอาไว้ ด้วยอายุที่มาขึ้นเรื่อย เรื่องเงินทองไม่ใช่เป็นประเด็นแล้ว แต่เขาต้องการเป็นที่จดจำ

ปี 2001 George harrison เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งรวมทั้งโลกต้องพบกับ เหตุการณ์ 11 กย.

ผู้คนในโลกตะวันตกแสวงหาสันติภาพ บทเพลง imagine ถูกเปิดในหลายๆโอกาส Paul เองก็เป็นแกนนำในการทำ Concert for New York City โดยรวบรวมศิลปินดังมาทำคอนเสิร์ตการกุศลเพื่อนิวยอร์ค

 ปี2004 ค่ำคืนในเทศกาลดนตรี Glastonbury ที่อังกฤษ Paul McCartney ไปเป็นไฮไลท์ของงาน น่าตกใจไม่น้อยที่หนุ่มสาวในปี2004 ยังคงทึ่งกับดนตรีเมื่อ 40ปีที่แล้ว หนุ่มสาวมากมายสามารถเข้าถึงเพลงของพวกเขาได้ไม่ยาก มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมได้แล้ว Paul ร้อง 'Here Today' ให้กับ John Lennon ร้อง 'All Thing must pass' ให้กับ George harrison สองเพื่อนผู้จากไป

ผู้คนร้อง Hey Jude กันซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับมันไม่มีวันจบ กับท่อนสุดท้าย " Na na na na na....na"
Paulไม่ควรกังขาความเป็นตำนานของเขาเลย ในค่ำคืนที่คนอายุคราวหลานของเขานับหมื่นร่วมร้องเพลงที่เขาแต่ง

 มิถุนายน 2006 Paul McCartney อายุ 64 นับเป็นหลักไมล์ที่สำคัญของ Rock'n' Roll Paul แต่งเพลง "When I'm Sixty-Four" ตั่งแต่อายุ 16 วันนี้เขาอายุ 64 ปีแล้ว ภรรยาที่เคียงข้างอย่าง Linda ก็จากไป เมียใหม่ก็หย่าร้าง ต่างจากเนื้อเพลงในมุมมองของเด็กอายุ16นัก แต่เขาก็ยังมีลูกๆมาช่วยกันร้องเพลง "When I'm Sixty-Four" เซอร์ไพรซ์ในงานวันเกิด

 เมื่อ Paul ถูกถามเรื่อง John ทั้งเรื่องความขัดแย้งในอดีตต่างๆนาน เขาจะบอกว่า สำหรับคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่วัยรุ่นจนอายุ 40 เคยกินนอนล้มลุกคลุกคลานในเยอรมันมาด้วยกันร่วมล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน กอดคอกันหัวเราะ ร้องไห้กันมา นับครั้งไม่ทั่ว มันมีความทรงจำดีๆเยอะพอที่จะจำ และพอที่จะลืมความทรงจำแย่ๆได้ไม่ยากเลย