วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

เผยภาพแว่นตาเปื้อนเลือดของจอห์น เลนนอน เรียกร้องสันติภาพคืนสู่อเมริกา


วันที่ 20 มี.ค. โยโกะ โอโนะ ภรรยาของจอห์น เลนนอน นักร้องวงสี่เต่าทอง เดอะบีเทิลส์ ที่เสียชีวิตจากการถูกลอบยิง ซึ่งในโอกาสครบรอบ44ปีของการแต่งงาน โยโกะได้ทวีตภาพแว่นตาของจอห์น เลนอนที่เปื้อนเลือด ผ่านทาง @yokoonoพร้อมข้อความว่า

 
“ในสหรัฐอเมริกมีคนถูกฆ่าตายนับล้านคน นับตั้งแต่ที่สามีของเธอถูกลอบยิงในปี 1980 การตายของคนที่เรารักเป็นประสบการณ์ที่ฝังใจและสะเทือนอารมณ์ ขอให้พวกเรานำอเมริกาดินแดนแห่งสันติภาพกลับคืนมา “

ทั้งนี้การทวิตข้อความดังกล่าวเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนและเรียกร้องให้ประชาชนชาวอเมริกาออกมาให้ความสำคัญกับการออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืน หลังจากเกิดโศกนาฏกรรมจากการกราดยิงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา



ขอบคุณภาพประกอบจาก ทวิตเตอร์  @yokoono

อังกฤษยกย่องให้ ‘ทางม้าลาย'บนถนน‘แอบบี ' บนปกอัลบั้มของวงเดอะบีเทิลส์ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ



ทาง ม้าลายบนถนน "แอบบี โรด" ซึ่งปรากฏอยู่บนปกอัลบั้มของวงเดอะบีเทิลส์ ได้รับการคัดเลือกให้เป็น "มรดกทางวัฒนธรรม ชั้นที่ 2" และถือเป็นทางม้าลายแรกที่ได้รับเกียรตินี้ เนื่องจากคณะกรรมการมรดกทางวัฒนธรรมของอังกฤษเล็งเห็นถึง "ความสำคัญด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์"ของประเทศ

ทางม้าลาย เดิมที่ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำปกอัลบั้มของเดอะบีเทิลส์ ถูกย้ายห่างออกไปจากจุดเดิมหลายเมตร เมื่อกว่า 30ปีก่อน ด้วยเหตุผลด้านการจัดการจราจร และไม่ปรากฏร่องรอยเดิมให้เห็นอีก

นาย จอห์น เพ็นโรส รมว.การท่องเที่ยวและมรดกทางวัฒนธรรม กล่าวว่า "จริงอยู่ที่ว่านี่คือทางม้าลาย ไม่ใช่ปราสาทหรือโบสถ์ แต่ต้องขอขอบคุณเดอะบีเทิลส์ และภาพถ่ายเมื่อเช้าวันหนึ่งของปี 1969 ซึ่งทำให้ที่นี่กลายเป็นส่วนหนึ่งของมรดกของชาติของเรา"

นาย โรเจอร์ โบวด์เลอร์ หัวหน้าฝ่ายคัดเลือก สำนักงานมรดกทางวัฒนธรรมอังกฤษ กล่าวว่า นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นกรณีที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ และแม้ว่ามันจะเป็นเพียงสิ่งก่อสร้างธรรมดา แต่มันสร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติและยังคงแสดงบทบาททางวัฒนธรรมอย่างต่อ เนื่อง


พอล แม็คคาร์ทนีย์ อดีตสมาชิกวงเดอะบีเทิลส์ กล่าวว่า "นี่ถือเป็นปีที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมและเดอะบีเทิลส์ และการที่ได้ทราบว่า ทางม้าลายบน"ถนนแอบบี" ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกของชาติ

ทาง ม้าลายตั้งอยู่บริเวณด้านนอกสตูดิโอเพลงบนถนนแอบบี ซึ่งเป็นสถานที่ที่วงเดอะบีเทิลส์ ใช้ในการผลิตผลงานหลายๆอัลบั้ม ส่วนสตูดิโอดังกล่าว ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกของชาติชั้นที่ 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2011 ที่ผ่านมา




วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

ประวัติ Ringo Starr


 


ประวัติ Ringo Starr


        การที่พีท เบสท์ ถูกให้ออกจากวงเดอะบีทเทิลส์นั้นสร้างความไม่พอใจให้กับ แฟนเพลงชาวลิเวอร์พูลเป็นอย่างมาก เพราะว่าเขาเป็นขวัญใจวัยรุ่นโดยเฉพาะบรรดา สาวๆ คลั่งไคล้เขาเอามากๆ ไบรอันจึงได้ว่าจ้างบอดี้การ์ดมาคุ้มครองเด็กๆ ของ พวกเขาขณะที่ไปเล่นดนตรีที่เดอะคาเวิร์น นอกจากนี้ไบรอันก็ยังต้องหามือกลอง ฝีมือดีให้ได้ก่อนที่จะถึงวันนัดทำการบันทึกเสียงในตอนต้นเดือนกันยายน 1962 ขณะที่ริงโก สตาร์ถูกทาบทามให้มาร่วมกับเดอะบีทเทิลส์นั้นเขาอายุ 22 ปี ริงโก มีชื่อจริงว่า Richard Starkry, Jr. และมีชื่อเล่นว่า Ritchie เขาเกิดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 1940 ในลิเวอร์พูล ริงโกเป็นบุตรของ Richard Starkey, Sr. และ Elsie Gleave ริงโกถูกเลี้ยงมาในสลัมท่าเรือของลิเวอร์พูลที่ชื่อว่า Dingle เมื่อ เขาอายุได้ 3 ขวบ พ่อของเขาซึ่งขณะนั้นทำงานอยู่ในโรงงานทำขนนปังก็ได้ทิ้งเขา ไป เอสซี่จึงต้องเลี้ยงลูกตามลำพังโดยทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในบาร์

 เมื่อริงโก อายุได้ 6 ขวบก็ถูกส่งเข้าโรงเรียน St.Silas's School วันหนึ่งริงโกมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง เขาถูกส่งเข้าโรงพยาบาลและพบว่า ไส้ติ่งแตก อาการของเขาหนักมาก เขาจึงต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลเกือบ 3 เดือน จึงต้องฉลองวันเกิดอายุ 7 ขวบในโรงพยาบาล เมื่อออกจากโรงพยาบาลเขาก็ต้องกลับ มาตรวจอยู่เสมอ จากการป่วยครั้งนี้ทำให้เขาเรียนไม่ทันเพื่อน กลายเป็นคนอ่อนแอ และท้อถอยที่จะทำอะไร เมื่อเอลซี่แต่งงานใหม่กับ Harry Gleave ช่างทาสีบ้าน ริงโกจึงมีความสุขขึ้นมา อีกครั้งหนึ่ง เขารักพ่อเลี้ยงเขามาก ต่อมาเมื่อริงโกอายุได้ 13 ขวบ เขาก็ป่วยเป็น โรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ ต้องนอนรักษาตัวอยู่นานถึง 2 ปี ที่โรงพยาบาล Herswall Children's Hospital โดยไม่ได้เรียนหนังสือ ริงโกออกจากโรงพยาบาลเมื่อเขาอายุ ได้ 15 ปี เขาหมดความตั้งใจที่จะเรียนหนังสือต่อเพราะช้าไปมากจึงตัดสินใจหางานทำ งานชิ้นแรกของเขาก็คือพนักงานส่งสาร ในปี 1956 ดนตรีในแบบ Skiffle กำลังระเบิดไปทั่วลิเวอร์พูล ริงโกซึ่งเคยหัด ตีกลองตอนที่ป่วยอยู่ในโรงพยาบาลก็ได้เขามาร่วมวงกับ Eddie Clayton ซึ่งเคยเป็น สมาชิกของวงเดอะควอรีเมนมาก่อน ริงโกเล่นดนตรีมาเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 1959 เขาก็กลายเป็นมือกลองอาชีพ และเป็นมือกลองของวง Rory Storm and the Hurricanes ซึ่งเป็นวงดนตรีที่ใหญ่ที่สุดของลิเวอร์พูลในขณะนั้น ตอนนี้เองเขาได้เปลี่ยนชื่อมา เป็นริงโกเพราะว่าเขาชอบใส่แหวนหลายๆ วง

 ส่วนคำว่า สตาร์ ก็มาจาก นามสกุลสตาร์กีของเขานั่นเอง เดอะบีทเทิลส์รู้จักกับริงโกมานานแล้วตั้งแต่สมัยที่พวกเขาไปเล่นดนตรีในฮัมบูร์ก ในตอนนั้นจอร์จ แฮร์ริสัน โทรศัพท์ไปชวนริงโกให้มาอยู่กับเดอะบีทเทิลส์นั้น วง Rory Storm and the Hurricanes กำลังเสื่อมความนิยม จอร์จเสนอค่าจ้างให้ ริงโกอาทิตย์ละ 25 ปอนด์ซึ่งริงโกก็ตอบตกลงทันที และรีบเปลี่ยนทรงผมของเขามา เป็นทรง "สี่เต่าทอง" ให้เหมือนกับเพื่อนร่วมวงทั้งสาม


 ริชาร์ด สตาร์คีย์ (อังกฤษ: Richard Starkey) MBE เกิดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1940 หรือมีชื่อที่เป็นที่รู้จักคือ ริงโก

สตาร์ (อังกฤษ: Ringo Starr) เป็นนักดนตรี นักร้อง-นักแต่งเพลง และนักแสดงชาวอังกฤษ เป็นที่รู้จักที่สุดในฐานะมือกลองวงเดอะบีทเทิลส์ สตาร์เป็นคนสุดท้ายที่เข้ามาร่วมวงเดอะบีทเทิลส์ แทนที่ พีต เบสต์ เขาเป็นสมาชิกที่แก่ที่สุดอันดับสองของวง ถัดจากสจ๊วต ซัตคลิฟฟ์สตาร์เป็นมือกลองใหักับวงเดอะบีทเทิลส์ แต่ก็ประสบความสำเร็จในการเป็นนักแต่งเพลงให้กับวง อย่างเช่น "Don't Pass Me By"และ "Octopus's Garden" และยังได้ร้องนำในเพลงอย่างเช่น "Yellow Submarine", "With a Little Help from My Friends", "WhatGoes On", "I Wanna Be Your Man", "Boys", "Act Naturally", "Honey Don't", and "Good Night" รวมถึงประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยว กับเพลงดังอย่าง "It Don't Come Easy", "Photograph" และ "You're Sixteen" นอกจากนี้สตาร์ยังร่วมแสดงในรายการ Thomas and Friends ระหว่างปี 1984 -1986

ประวัติ George Harrison


ประวัติ George Harrison

           จอร์จเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวของเดอะบีทเทิลส์ที่มาจากครอบครัวใหญ่มีสมาชิก หลายคน บีทเทิลส์คนนี้เป็นสมาชิกที่เด็กที่สุดในวงและเป็นลูกคนเล็กของครอบครัว Harold และ Louise Harrisin เขาเกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1943 ในลิเวอร์พูล หลุยส์เป็นหญิงอ้วนเตี้ย อารมณ์แจ่มใสและสังคมเก่ง ส่วนแฮโรลด์เป็นชายร่างเล็ก ผอมบางและสุภาพ แฮโรลด์เลิกเรียนหนังสือเมื่อมีอายุได้เพียง 14 ปี และเขาก็ได้ทำ งานในร้านซักผ้าโดยได้ค่าตอบแทนวันละ 7 ชิลลิง 6 เพนนี เดิมแฮโรลด์ใฝ่ฝันที่จะเป็น ทหารเรือแต่แม่ของเขาก็ได้ห้ามเอาไว้ เพราะว่าพ่อของแฮโรลด์ถูกฆ่าตายในสงคราม โลกครั้งที่1 ระหว่างปี 1926-1936 แฮโรลด์ก็ย้ายไปทำงานกับบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือ เขารู้จักกับหลุยส์ในปี 1929 และได้แต่งงานกันในวันที่ 20 พฤษภาคม 1930 หลังแต่งงานแฮโรลด์กับหลุยส์พักอยู่ที่ 12 Arnold Grove ใน Wavertree และได้ พักอยู่ที่นี่เป็นเวลาถึง 18 ปี ในขณะที่แฮโรลด์ต้องออกเดินทางไปกับเรือ หลุยส์ก็ทำงาน ร้านขายผัก บุตรคนแรกของครอบครัวเกิดเมื่อปี 1931 และคนที่สองเกิดเมื่อปี 1934 ในปี 1937

 แฮโรลด์ได้ลาออกจากบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือ และเขาทำงานเป็นนายตรวจ รถประจำทาง ต่อมาในปี 1938 เขาก็กลายเป็นคนขับรถประจำทาง ในปี 1940 ลูกคนที่ สามก็เกิด และในปี 1944 หลุยส์ก็ให้กำเนิดจอร์จซึ่งเป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัว จอร์จเป็นเด็กที่เก่งและฉลาดสามารถช่วยตัวเองได้ตั้งแต่ยังเด็ก เขาเข้าเรียนที่ Dovedale Primary School ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกับจอห์น แต่จอร์จอยู่ต่ำกว่าถึง 3 ชั้น และจอห์นเองก็เรียนอยู่ชั้นเดียวกับปีเตอร์พี่ชายของจอร์จอีกด้วย ระหว่างที่เรียนอยู่ที่นี่ จอห์นและจอร์จไม่ได้รู้จักกันเลย เมื่อจอร์จอายุได้ 6 ขวบ ครอบครัวก็ย้ายไปอยู่ที่ Speke ในปี 1945 จอร์จเข้าศึกษา ที่ Liverpool Institute ซึ่งขณะนั้นพอลเรียนอยู่ในชั้นที่สูงกว่าเขา ส่วนจอห์นก็ยังศึกษา อยู่ชั้นปีที่ 4 ของ Quarry Bank High School จอร์จรู้จักกับไมเคิลน้องชายของพอลขณะที่เขาเรียนอยู่ที่ Liverpool Institute 3 ปีแรก ของการศึกษาที่นี่จอร์จมักจะทำอะไรที่ผิดกฏเกณฑ์ของโรงเรียนอยู่เสมอ

 ต่อมาในปีที่ 4 เขาก็เรียบร้อยขึ้น แฮโรลด์ภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้ของเขามาก หลุยส์มีความสนใจด้านดนตรีและการเต้นรำมาก เธอช่วยสอนเต้นรำให้กับบรรดา ครอบครัวของพนักงานขับรถประจำทางที่แฮโรลด์ทำงานอยู่ ในตอนเด็กๆ จอร์จไม่มีทีท่า ว่าจะสนใจในเรื่องดนตรีเลยแม้แต่น้อย กีตาร์ตัวแรกที่แม่เขาซื้อให้ถูกเก็บและลืมอยู่ใน ตู้นานถึง 3 เดือน ต่อมาจอร์จจึงนำมันออกมาหัดเล่นเอง เมื่อจอร์จเริ่มเล่นได้หลุยส์ก็ซื้อ กีตาร์ไฟฟ้าให้เขาอีก 1 ตัว จอร์จรู้จักกับพอลมานานแล้วเพราะเขาเป็นเพื่อนกับน้องชายของพอล จอร์จเคยเล่นกีตาร์ กับพอลมาด้วยกันตั้งแต่ก่อนที่พอลจะรู้จักกับจอห์นเสียอีก ต่อมาจอร์จได้มีโอกาสไปดู เดอะควอรีเมนเล่นที่ Wilson Hall อีวานและพอลจึงได้แนะนำให้รู้จักกับจอห์น จอห์นบอก กับจอร์จว่า ถ้าเขาสามารถเล่นกีตาร์ได้ดีเท่าๆ กับ Eddie Clayton สมาชิกคนหนึ่งของ เดอะควอรีเมน เขาก็จะรับเข้าร่วมวงด้วย จอร์จจึงแสดงฝีมือของเขาในเพลง Raunchy ให้ฟัง จอห์นจึงรับจอร์จเข้าเป็นสมาชิก จอห์น พอล จอร์จ กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน ยามว่างหลังจากเลิกเรียนและในวันหยุด พวกเขาก็จะพากันไปยังบ้านของจอร์จหรือพอลเพื่อซ้อมดนตรี ส่วนคุณป้ามิมิ นั้นไม่ยอม ให้ Teddy Boys พวกนี้เข้ามาในบ้านเธออย่างเด็ดขาด


 ผลงาน.............................................


จอร์จ แฮร์ริสัน (George Harrison)

(25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 – 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2001)[2] 

เป็นมือกีตาร์ชาวอังกฤษ นักร้อง-นักแต่งเพลง ผู้สร้างภาพยนตร์ เขาประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ

จากการเป็นมือกีตาร์ลีดให้กับวงเดอะบีทเทิลส์ และยังมีชื่ออยู่อันดับ 21 ของการจัดอันดับในนิตยสารโร

ลลิงสโตนในหัวข้อ "100 นักกีตาร์ที่เยี่ยมที่สุดตลอดกาล" มักถูกพูดถึงว่าเป็น "บีทเทิลที่เงียบขรึม" (the quiet Beatle) แฮร์ริสันเชื่อเรื่องเวทมนตร์อินเดีย และยังทำให้ฐานคนฟังของเดอะบีทเทิลส์กว้างขึ้น
 เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ฟังตะวันตก หลังจากที่วงแตกไป เขาประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยวและต่อมาก็อยู่ในวง แทรเวลลิงวิลบูรีส์ และยังเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์และเพลงอีกด้วยถึงแม้ว่าเพลงโดยมากของเดอะบีทเทิลส์จะแต่งโดยเลนนอนและแม็กคาร์ตนีย์ แฮร์ริสันก็ยังแต่งเพลง 1 หรือ 2 เพลงต่ออัลบั้มตั้งแต่ชุด Help! เป็นต้นมา 
     ผลงานเขาที่ร่วมกับ เดอะบีทเทิลส์เช่นเพลง "Here Comes the Sun", "Something", "I Me Mine" และ  "While My Guitar Gently Weeps" หลังจากวงแตกไป แฮร์ริสันก็ยังเขียนเพลง ออกผลงานทริปเปิลอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอย่าง All Things Must Pass ในปี 1970 ที่มี 2 ซิงเกิ้ลและ ดับเบิลเอ-ไซด์ซิงเกิล: "My Sweet Lord" กับ Isn't It a Pity" นอกจากนี้ในงานเดี่ยว แฮร์ริสันยังร่วมเขียนเพลงฮิต 2 เพลงให้กับริงโก สตารร์ อดีตสมาชิกวงเดอะบีทเทิลส์อีกคน และเพลงในวงแทรเวลลิงวิลบูรีส์ วงซูเปอร์กรุ๊ป ที่ฟอร์มวงในปี 1988 ร่วมกับบ็อบ ดีแลน, ทอม เพตตี, เจฟฟ์ ลีนน์ และรอย ออร์บิสันแฮร์ริสัน ได้รับวัฒนธรรมอินเดียและฮินดู ในช่วงทศวรรษ 1960 และช่วยให้ความรู้กับคนตะวันตกด้วยเพลงซิตาร์ และกลุ่มเคลื่อนไหวฮารี กฤษณา เขาร่วมกับระวี ชังการ์ จัดคอนเสิร์ตการกุศลในปี 1971 ที่ชื่อ 
Concert for Bangladesh และเขาถือเป็นคนเดียวในเดอะบีทเทิลส์ที่พิมพ์อัตชีวประวัติ ขึ้นที่ชื่อ I Me Mine ในปี 1980นอกจากการเป็นนักดนตรีแล้ว เขายังเป็นโปรดิวเซอร์เพลง และร่วมก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ชื่อ แฮนด์เมดฟิล์มส งานของเขาในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ เขาร่วมงานกับผู้คนหลากหลายอย่าง มาดอนน่า และสมาชิกของกลุ่มมอนตี้ ไพธอน ด้านชีวิตส่วนตัวเขาแต่งงาน 2 ครั้ง ครั้งแรกกับนางแบบ แพตตี บอยด์ ในปี 1966 และเลขาบริษัทค่ายเพลงที่ชื่อ โอลิเวีย ทรินิแดด อาเรียส ในปี 1978 ที่มีลูกชายด้วยกัน 1 คน ชื่อ ดานี แฮร์ริสัน เขายังเป็นเพื่อนสนิทกับอีริก แคลปตัน และอีริก ไอเดิล เขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปอดเมื่อปี 2001

ประวัติ Paul McCartney Jim McCartney



 ประวัติ Paul McCartney

Jim McCartney(พ่อของพอล) แต่งงานเมื่ออายุได้ 39 ปี ก่อนหน้านี้เขามีอาชีพเป็นเซลส์แมนใน เวลากลางวัน และเป็นนักดนตรีในเวลากลางคืนและในวันหยุด จิมเป็นหัวหน้าวงดนตรี ชื่อ Jim Mac Jazz Band แต่วงของเขาต้องล้มเลิกไป ปี 1941 จิมแต่งงานกับ Mary Patricia Mohin พยาบาลชาวไอริช หลังแต่งงานจิมก็เข้าทำงานที่บริษัทผลิตเครื่องยนต์ ในเวลากลางวัน และทำงานเป็นพนักงานดับเพลิงในเวลากลางคืน Paul McCartney บุตรชายคนโตของครอบครัวเกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 1942 ที่ Walton General Hospital แม่ของเขาทำงานอยู่ ลูกคนที่สองคือ Micheal เกิด เมื่อปี 1944 ส่วนจิมนั้นเมื่อสงครามสงบเขาก็เปลี่ยนอาชีพเป็นผู้คุมพนักงานทำความ สะอาดถนน ครอบครัวแม็คคาร์ทนีย์พักอยู่ที่ Anfield ต่อมาก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ Speke ซึ่งอยู่ห่าง จากลิเวอร์พูลเพียง 6 ไมล์ พอลเข้าโรงเรียนครั้งแรกที่ Stockton Wood Road Primary School


เมื่อเขาอายุได้ 13 ปี ครอบครัวของเขาก็ย้ายบ้านอีกครั้งไปอยู่ที่เลขที่ 20 Forthli Road ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านจอห์น เลนนอนไม่ถึงไมล์ พอลเป็นเด็กเรียบร้อย สุภาพ และยังเรียนดีอีกด้วย ในปี 1953 เขาได้ย้ายไปเรียนที่ Liverpool Institute ซึ่งตั้งอยู่ในตึกเดียวกับ Liverpool Art College ในฤดูร้อนปี 1955 แม่ของพอลก็เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง พอลอายุได้เพียง 14 ปี จิมไม่รู้จักวิธีดูแลบ้านและลูก เพราะปกติก็เป็นหน้าที่ของภรรยา เมื่อภรรยาเสียชีวิตลง เขาใช้เวลาปรับตัวอยู่พักหนึ่งนอกจากนี้เรื่องเงินก็กลายมาเป็นปัญหาสำคัญของครอบครัว เพราะเมื่อภรรยายังมีชีวิตอยู่ เธอมีรายได้ดีจากการเป็นพยาบาล จิมจึงต้องประหยัดและ พยายามหางานพิเศษทำ เพื่อให้ได้เงินมาจุนเจือครอบครัว ในวัยเด็ก พอลไม่มีทีท่าว่าจะสนใจดนตรีแม้แต่น้อย เมื่อเขากัยน้องชายถูกบังคับให้ เรียนเปียโนกับครูที่มาสอนถึงบ้าน เขาก็เล่นอย่างไม่เอาใจใส่เท่าไหร่ ต่อมาจิมก็พาลูก ชายไปหัดร้องเพลงประสานเสียง และก็ให้ลูกชายเข้าร่วมเป็นนักร้องประสานเสียงที่โบสถ์ Saint Chad ในเมืองลิเวอร์พูล ใกล้กับ Penny Lane


หลังจากนั้นไม่นานลุงของพอลก็ ให้ทรอมเปตเก่าๆ กับเขาตัวหนึ่ง จิมได้สอนลูกชายของเขาให้หัดเป่าทรอมเปต หลังจากสูญเสียมารดาไปได้ไม่กี่เดือน พอลก็หันมาสนใจฟังเพลง จิมซื้อกีตาร์ให้พอล ตัวหนึ่ง เมื่อลองเล่นครั้งแรกจึงได้รู้ว่าเขาเล่นได้ถนัดด้วยมือซ้าย พอลได้นำกีตาร์กลับไป ที่ร้านและให้คนขายสลับสายให้ เพื่อที่จะได้เหมาะสมกับคนถนัดซ้ายเช่นเขา พอลชอบฟัง เพลงของ Little Richard และ The Everly Brothers มาก ไมเคิลน้องของพอลเล่าให้ฟัง ในภายหลังว่า เมื่อครั้งที่พอลได้กีตาร์มานั้น เขาแทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย นอกจาก หัดเล่นด้วยตัวเอง โดยเปิดวิทยุและพยายามเล่นตามเพลง เมื่อพอลศึกษาอยู่ที่ Liverpool Institute เขาก็ได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิก ของวงดนตรีเดอะควอรีเมน นั่นก็คือ Ivan Vaughan วันหนึ่งอีวานชวนพอลให้ไปชมการ แสดงดนตรีของพวกเขา พอลมีความรู้สึกหลังจากชมการแสดงว่า พวกนักดนตรีเหล่านั้น ไม่รู้จักโน้ตดนตรี หรือวิธีการเล่นแปลกๆ เขาจึงเข้ามาคุยกับนักดนตรีและได้เล่นเพลง Twenty Flight Rock ให้พวกนั้นฟัง และก็ยังช่วยเขียนเนื้อเพลง Be Bop A Lula ให้ แก่จอห์นอีกด้วย


 เมื่อพบกันครั้งแรก พอลรู้สึกทึ่งในบุคลิกภาพของจอห์นมาก ส่วนจอห์นเองก็ชื่นชมใน ฝีมือการเล่นกีตาร์ของพอล จึงไม่น่าเป็นที่น่าแปลกใจเลยว่าไม่กี่วันหลังจากนั้นพอลก็ กลายมาเป็นสมาชิกของวงดนตรีเดอะควอรีเมน พอลออกแสดงดนตรีกับเดอะควอรีเมน ครั้งแรกที่คลับบรอดเวย์ ซึ่งมีการจัดงานเต้นรำกัน หลังจากนั้น จอห์นกับพอลก็กลายมา เป็นเพื่อนสนิทกัน แม้จะมีอายุและนิสัยใจคอที่แตกต่างกันก็ตาม เนื่องจากโรงเรียนของ จอห์นและของพอลตั้งอยู่ในตึกเดียวกัน ทั้งคู่จึงมีเวลาที่จะพบกันได้เกือบทุกวัน เป็นที่ เชื่อได้ว่า ในปีแรกของความเป็นคู่หูของจอห์นและพอลนั้น เขาได้ร่วมกันแต่งเพลง ประมาณ100 กว่าเพลงซึ่งได้สูญหายไปหมด เมื่อมีการซ่อมแซมบ้านที่พอลอาศัยอยู่ คุณป้ามิมิของจอห์นไม่ชอบหน้าพอลเอาเลย เพราะเธอคิดว่าพอลมาชวนหลานชายของ เธอให้เสียคนไม่เอาใจใส่ในการเรียนมัวแต่เล่นกีตาร์ ดังนั้นจอห์นจึงไม่สามารถพาพอล และเพื่อนคนอื่นๆ ของเขาเข้าไปซ้อมดนตรีในบ้านของมิมิได้แต่ต่อมาจูเลียแม่ของจอห์น ซึ่งรักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจก็ได้เสนอให้จอห์นนำเดอะควอรีเมนของเขามาซ้อมกันที่บ้าน ของเธอได้ วันหนึ่งอีวานและพอลได้แนะนำเพื่อนใหม่ของเขาคนหนึ่งให้รู้จักกับจอห์น เพื่อนคนนี้ อายุยังน้อยและมีลักษณะพิเศษ คือ ชอบใส่เสื้อหนังสีดำ เขาคือ George Harrison




 เซอร์ เจมส์ พอล แม็กคาร์ตนีย์ (อังกฤษ: Sir James Paul McCartney) เกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1942 เป็นนักร้องเพลงร็อก

 ชาวอังกฤษ มือกีตาร์เบส นักประพันธ์เพลง โปรดิวเซอร์เพลง ผู้สร้างภาพยนตร์ นักลงทุน นักกิจกรรมต่อสู้ด้านสิทธิสัตว์ นักมังสวิรัติ

 เขามีชื่อเสียงอย่างมากในการเป็นสมาชิกวงเดอะบีทเทิลส์ ร่วมกับ จอห์น เลนนอน ,จอร์จ แฮร์ริสัน และ ริงโก สตาร์เขาเกิดในครอบครัวชนชั้นแรงงานที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ บิดาเป็นนักทรัมเป็ตและเปียโนในวงแจ๊สซึ่งสนับสนุนการเล่นดนตรีมาแต่เล็ก โดยเล่นทูบา เป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกต่อมาเปลี่ยนเป็นทรัมเป็ต ต่อมาในยุคความนิยมดนตรีสกิฟเฟิล (Skiffle) พอล
 จึงหันมาเล่นกีตาร์ จนในยุคที่ร็อกแอนด์โรลโด่งดัง เพื่อนของเขา จอห์น เลนนอนจึงชวนมาตั้งวงที่ชื่อ "แควร์รี่ เมน" (Quarry Men)ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อ เดอะบีทเทิลส์ จนโด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งเขาและจอห์นก็ร่วมแต่งเพลงฮิตมากมายหลายเพลง เช่น LadyMadonna, Here Today, Wanderlust , Yesterday จนในปี 1970 วงเดอะบีทเทิลส์ก็แตกวงไป พอแยกมาทำอัลบั้มร่วมกับภรรยา ลินดา แม็กคาร์ตนีย์ ในชื่อ "วิงส์" (Wings)พอลได้รับการจดบันทึกในกินเนสบุ๊กว่า เป็นนักดนตรีและนักแต่งเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรีป๊อป เขาได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำ 60 ครั้ง ขายได้กว่า 100 ล้านซิงเกิล และเพลง Yesterday ที่เขาร่วมแต่งกับจอห์นก็เป็นเพลงที่ถูกนำมาคัฟเวอร์มากที่สุดในโลก ถูกแพร่ภาพและเสียงในอเมริกากว่าเจ็ดล้านครั้ง ....

ประวัติ John Lennon




ประวัติ John Lennon
           จูเลีย(แม่ของ จอร์น)ยังคงอาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเธอในขณะที่เฟรดต้องออกทะเล ต้นปี 1940 จูเลียก็ตั้งครรภ์ เธอให้กำเนิดบุตรชายเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 1940 เวลา 18.30 นาฬิกา ณ Maternity Hospital ในลิเวอร์พูล และตั้งชื่อเขาว่า John Winston Lennon ขณะที่จอห์นเกิด เฟรดอยู่บนเรือกลางทะเล ทุกๆเดือนจูเลียจะไปยังสำนักงาน เดินเรือ เพื่อรับค่าใช้จ่ายที่เฟรดส่งมาให้เธอและจอห์น เฟรดทำเช่นนี้เรื่อยมาจน กระทั้งจอห์นอายุได้ 18 เดือน เขาก็หยุดจ่ายเงินให้ เหตุผลก็คือเฟรดถูกจับเข้าคุก ในแอฟริกาด้วยข้อหาขโมยเหล้า เมื่อจอห์นอายุได้ 5 ขวบ เฟรดก็กลับมายังลิเวอร์พูลพร้อมด้วยเงินเต็มกระเป๋า ขณะนั้นจูเลียมีคู่รักใหม่แล้วและเธอก็ต้องการที่จะหย่าขาดจากเฟรด ก่อนหน้านี้จูเลีย ได้นำจอห์นไปให้ Mary Elizabeth Smith หรือที่เรียกว่า Mimi ดูแล มิมิเป็นพี่สาวคน โตของจูเลียซึ่งรักใคร่เอ็นดูจอห์นมาก


เมื่อเฟรดกลับมา เขาไปเยี่ยมจอห์นที่บ้านมิมิ และพาจอห์นไปเที่ยวสวนสนุกที่ Blackpool เพื่อนของเฟรดชวนให้เขาไปตั้งที่นิวซีแลนด์ เพราะสามารถทำมาหากินได้ ง่ายกว่าอยู่อังกฤษ เฟรดเห็นด้วยและจะพาจอห์นไปด้วย เมื่อจูเลียมาเยี่ยมจอห์นที่ Blackpool ได้รู้ว่าเฟรดจะนำลูกชายเธอไปเธอก็ไม่ยอม หลังจากที่เถียงกันจอห์นก็ ตกลงใจว่าจะอยู่กับแม่ของเขา นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เฟรดได้เห็นหน้าลูกชายของเขา เพราะ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้รับรู้ข่าวคราวเกี่ยวกับลูกชายเขาอีกเลย มารู้เอาอีกทีก็ตอนที่ จอห์นเป็นนักดนตรีชื่อก้องโลกไปแล้ว มิมิก็ส่งจอห์นเข้าเรียนชั้นต้นที่ Dovedale Primary School จอห์นเป็นเด็ก ฉลาดและมีอารมณ์ขัน แต่ไม่สนใจการบ้านที่ให้ทำ เขาชอบวาดการ์ตูนล้อเลียนครูและ เพื่อนหรือไม่ก็เขียนโคลงสั้นๆหรือเรื่องสั้น หนังสือโปรดของเขาคือหนังสือที่มีชื่อว่า Wind in the Willows จอห์นเป็นคนเจ้าอารมณ์และหัวแข็ง ซึ่งคงจะเกิดจากพ่อและ แม่ได้ทิ้งเขาไปนั่นเอง ในปี 1952 เมื่อจอห์นอายุได้ 12 ขวบ เขาก็ย้ายมาอยู่ที่โรงเรียน Quarry Bank High School และเพื่อนสนิทจากโรงเรียนเก่าเช่น Pete Shotton ก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วย

 ทำให้จอห์นสามารถตั้งกลุ่มได้อีก เมื่อเขาโตขึ้นพฤติกรรมของเขาก็ร้ายขึ้นเป็นลำดับใน เทอมสุดท้ายของการศึกษาปีที่ 4 การเรียนของจอห์นตกต่ำถึงที่สุด ก่อนที่จะสำเร็จการศึกษาจาก Quarry Bank High School จอห์นหันมาสนใจ ดนตรีอเมริกาที่เรียกกันว่า Rock n' Roll เพลงที่จอห์นประทับใจมากก็คือเพลง Rock Around the Clock ของ Bill Haley และ Heartbreak Hotel ของ Elvis Presley จอห์นอยากได้กีตาร์มาก เขาจึงรบเร้าให้จูเลียซื้อให้ เมื่อจูเลียซื้อกีตาร์ให้ จอห์น เธอจึงต้องสอนวิธีการเล่นให้กับจอห์นด้วย เพราะจูเลียมีความสามารถเล่นแบนโจได้ ต้นปี 1956 จอห์นกับเพื่อนๆก็ร่วมกันตั้งวงดนตรี และให้ชื่อตามโรงเรียนของเขา ว่า The Quarrymen พวกเขาเล่นในหมู่เพื่อนๆ และเล่นตามงานโรงเรียนต่างๆ โดยเล่น เพลงในแบบ Rock n' Roll สมาชิกของ The Quarrymen ในขณะนั้นก็คือ Pete Shotton,Nigel Whalley, Lvan Vaughan และ John ต่อมาเมื่อจอห์นจบการศึกษาจาก โรงเรียนนี้เขาก็ย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนศิลปะชั้นดีของเมือง นั่นก็คือ Liverpool Art College ส่วนวง The Quarrymen ก็ยังคงเล่นอยู่โดยสมาชิกผลัดเปลี่ยนหน้ากันเข้ามา ในวันที่ 15 มิถุนายน 1956 Lvan Vaughan ก็ได้พาเพื่อนของเขาคนหนึ่งมาให้รู้ จักกับจอห์น เพื่อนคนนี้สนใจดนตรีมากและเล่นกีตาร์ได้ดีพอสมควร เขาก็คือ Paul McCartney


 

 เมื่อตอนที่จอห์นอายุ 16 ปี ได้ตั้งวงดนตรีชื่อควอร์รี่ แมน (Quarry Man) และเปิดการแสดงกันในโรงเรียน จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้

รู้จักกับ พอล แมกคาร์ตนีย์ ณ จุดนี้เอง จอห์นและพอลก็ได้มาร่วมงานกัน พร้อมกับจอร์จ แฮริสัน เป็นที่มาของวงดนตรี “เดอะ บีทเทิลส์” หรือ
 4 เต่าทอง


การแสดงของวงเข้าตา ไบรอัน เอพสเตน ซึ่งต่อมาเป็นผู้จัดการวง ซิงเกิ้ลแรกของพวกเขาชื่อว่า Love me Do ซึ่งได้ จอร์จ มาร์ติน

เป็นโปรดิวเซอร์ เพียงแค่วันที่สองของการออกซิงเกิ้ลนี้มันก็สามารถขึ้นชาร์ทที่อันดับ 17

จอห์นแต่งงานกับซินเธีย โพเวลล์ ในปี 1962 มีลูกชายด้วยกัน 1 คน คือจูเลียน แต่ที่สุดก็หย่าขาดจากกัน เมื่อจอห์นพบรักใหม่กับ โย

โกะ โอโนะ ที่เดอะ อินดิก้า แกลเลอรี่ ปี 1966 จากนั้นในปี 1970 สี่เต่าทองก็วงแตก

จอห์นยังคงทำงานดนตรีด้วยการออกผลงานเดี่ยว อัลบั้ม Imagine ตามด้วย Mind Games, Rock and Roll และ Walls and Bridge แต่

ชีวิตส่วนตัวย่ำแย่ จอห์น และ โยโกะ แยกทางกันเป็นเวลา 14 เดือน เพราะการกดดันของสาธารณชน แต่หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับมา

อยู่ด้วยกันอีกครั้ง

ในปี 1975 โยโกะก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายแก่เขาอีกคนชื่อ “ฌอน” จอห์นทิ้งอาชีพนักดนตรีไป 5 ปี เพื่อทำตัวเป็นพ่อบ้านที่ดี คอยเลี้ยง

ดูลูกชายคนนี้ หลังจาก 5 ปีผ่านไปเขาก็หวนนึกถึงอาชีพนักดนตรีและเขาแต่งเพลงอีกครั้ง เขาเขียนงานเพลง Double Fantasy และ

บันทึกในปีเดียวกันคือปี 1980

แต่โชคร้ายก็มาเยือนในวันที่ 8 ธันวาคม 1980 ช่วงบ่ายขณะที่จอห์น เลนนอน อยู่ในสตูดิโอเพื่อกำลังเตรียมตัวอัดเพลงใหม่ ก็มีชาย

คนนึ่งชื่อว่า Mark Chapman (มาร์ค แชปแมน) ถือกระดาษกับปากกายืนให้จอห์น เลนนอน แล้วพูดว่า"ฉันจะมีลายเซ็นของคุณเป็นที่

ระลึกได้ไหม?"จอห์นจึงเซ็นลายเซ็นของเขาให้แล้วก็ไป ทำงานต่อ

คืนนั้นจอห์นกับโยโกะก็มาอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์ของเขา เขาก็พบmark chapmanคนที่มาขอลายเซ็นเขานั้นเองแต่คราวนี้ในมือเขา

ไม่ใช่ปากกากับกระดาษแต่เป็นปืน

มาร์คพูดว่า "คุณเลนนอน!!" แล้วเขาก็ยิงจอห์นไปห้านัด จอห์นเสียชีวิตทันทีด้วยวัย 40 ปี 3 นาทีต่อมา ตำรวจมาถึงอพาร์ตเมนต์

มาร์คยังอยู่ตรงนั้นเขาพูดกับตำรวจว่า"ฉันนี้แหละที่ยิงจอห์น เลนนอน"

ที่มาของชื่อวง The Beatles




     กาลครั้งหนึ่งได้มีเด็กน้อยสามคนนาม จอห์น,จอร์จ และพอล อันเป็นชื่อจริง พวกเขาตัดสินใจว่าจะมารวมตัวกันเพราะว่าพวกเขาเป็นพวกชอบอยู่ด้วยกัน เมื่อพวกเขามารวมกันแล้ว ก็ให้สงสัยว่าจะมาอยู่ด้วยกันทำไม? ดังนั้นในบัดดล พวกเขาก็ปลูกกีต้าร์ขึ้นมาและทำเสียงดังขึ้น น่าขันนัก ไม่มีใครสนใจเลย เว้นแต่เด็กน้อยทั้งสามเอง ดังนั้นนนนนนนนน ในการค้นพบเด็กน้อยคนที่สี่ที่เล็กไปยิ่งกว่าพวกเขาอีกชื่อสจ๊วต ซัทคลิฟฟ์ที่วิ่งตามๆพวกเขามา พวกเขาจึงเอ่ยว่า- "ซอนนี่ ไปหากีต้าร์มาตัวนึง แล้วนายจะเจ๋งไปเลย" และเขาก็ทำตาม แต่เขาไม่ได้เจ๋งไปเลย เพราะเขาเล่นมันไม่เป็น ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งรออย่างสบายๆจนกระทั่งเขาเล่นได้แต่มันก็ยังไม่มีจังหวะ


และชายชราใจดีคนหนึ่งก็บอกกับพวกเขา- "พวกเอ็งไม่มีกลอง!" พวกเราไม่มีกลอง! พวกเขาตอบ ดังนั้นกลองชุดแล้วชุดเล่าก็เดินเข้ามาและออกไปและเข้ามา ทันใดนั้น ในสก็อตแลนด์ ขณะทัวร์กับจอห์นนี่ เจนเทิล (เรียกพวกเขาว่าเดอะ บีเทิลส์)เพิ่งจะรู้ตัวว่าพวกเขาไม่ได้มีสุ้มเสียงที่น่าฟังนัก--เพราะว่าพวกเขาไม่มีเครื่องขยายเสียง ดังนั้นพวกเขาจึงไปหามันมา มีคนมากมายถามว่าอะไรคือ Beatles? ทำไมต้อง Beatles?  


บีเทิลส์ ชื่อนี้ท่านได้แต่ใดมา? ดังนั้นเราจะบอกคุณตอนนี้ล่ะ มันมาพร้อมกับภาพๆหนึ่ง ชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนพายที่ลุกเป็นไฟและบอกกับพวกเขา "ตั้งแต่วันนี้ไปพวกเธอคือ Beatles พร้อมกับตัว A" "ขอบคุณครับมิสเตอร์แมน" พวกเขาตอบ ขอบคุณเขา นั่นเป็นข้อเขียนกึ่งเล่นกึ่งจริงของจอห์นในหนังสือ Mersey Beat นะครับ และต่อมาพอลก็เอาคำว่า 'Flaming Pie' จากบทความนี้มาตั้งเป็นชื่อเพลงและอัลบั้มของเขาในทศวรรษ 90's ชื่อ Beatles จริงๆแล้วก็คงมาจาก Beetles ที่แปลว่าแมลงปีกแข็งนั่นแหละ โดยเป็นการเดินรอยตามวง The Crickets ที่เป็นวงสนับสนุนของ Buddy Holly แต่คำว่า Crickets ก็มีสองความหมายคือ จิ้งหรีด และกีฬาประเภทหนึ่ง จอห์นเลยต้องเปลี่ยน e หนึ่งตัวใน Beetles ให้เป็น a คำว่า Beatles จึงมีความหมายสองแง่สองง่ามเอ๊ยมุมกะเค้าได้ "เมื่อคุณอ่านมันคือแมลงแต่เมื่อคุณเขียนมันมีความหมายไปทางผู้สรรสร้างจังหวะ" จอห์นว่าไว้ในอีกวาระหนึ่ง..... ส่วนคนคิด ไม่จอห์นก็คงจะสตู แต่จะไปถามใครก็คงช้าไปเสียแล้ว....